
ภาพชายหนุ่มทำหน้าที่ปรุงอาหาร รวมทั้งเสิร์ฟอาหารให้กับแขกที่เข้าพักในโรงแรมดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต และใช้บริการห้องอาหาร Casuarina Beach Club ด้วยตัวเอง นอกจากจะสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า ยังสร้างความประหลาดใจเมื่อรู้ว่า ชายหนุ่มคนนั้นคือ “คุณแชมป์-ศิรเดช โทณวณิก” กรรมการผู้จัดการ กลุ่มโรงแรมอาศัย และรองประธานฝ่ายปฏิบัติการ ดุสิต อินเตอร์เนชั่นแนล หนึ่งในผู้บริหารสูงสุดของกลุ่มดุสิตธานี


สำหรับใครหลายคนอาจจะมองเป็นวาระพิเศษ แต่สำหรับ “ศิรเดช” แล้ว เขาบอกว่า เรื่องอาหารเป็น “ความชอบ” หรืออาจจะเรียกว่า “ความหลงใหลส่วนตัว” ก็ได้
“Food Passion ของผมคือ ผมสนใจส่วนประกอบของอาหาร เครื่องปรุง รวมถึงวัตถุดิบต่างๆ ที่เรานำมาปรุงเป็นอาหาร เพราะทั้งหมดนั้นจะเป็นสิ่งที่ให้อาหารจานนั้นพิเศษได้อย่างไร ส่วนที่สำคัญมากๆ อีกอย่างหนึ่งคือ เราควรจะตามไปดูแหล่งผลิตวัตถุดิบที่เป็นจุดเริ่มต้น รวมถึงวิธีที่ได้มาด้วย ว่าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและมีความยั่งยืนแค่ไหน มันจะทำให้อาหารหนึ่งจานที่เราเสิร์ฟมันมีความหมายมากขึ้น”

ความมุ่งมั่นที่จะเสิร์ฟอาหารที่มีคุณค่าให้กับลูกค้า “ดุสิตธานี” ผนวกกับความรักในอาหารของ “ศิรเดช” ทำให้เขาใช้ความรู้ความสามารถที่มีวางแผนที่จะปรับปรุงบริการด้านอาหารของกลุ่มดุสิตธานี เพื่อเติมเต็มประสบการณ์ดีๆ ให้กับลูกค้า ภายใต้แนวคิดที่จะทำให้อาหารสะท้อนถึงเรื่องราววัฒนธรรมของชุมชน รสชาติ รวมถึงวิธีการปรุงแบบดั้งเดิมของแต่ละท้องถิ่นไว้ในเมนูของดุสิตธานี โดยเฉพาะการคงไว้ถึงเทคนิคการใช้ไฟหรือความร้อนแบบพื้นเมือง ซึ่งเป็นทั้งเสน่ห์และเป็นทั้งอัตลักษณ์ เป็นคุณค่าเฉพาะตัวที่ควรค่ากับการเรียนรู้
“สิ่งที่เรากำลังเดินหน้าไปอาจจะต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ผมหวังว่า ทุกคนจะได้เห็นการเปลี่ยนผ่านงานบริการด้านอาหารของดุสิตธานีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แนวทางที่เรามุ่งไปชัดเจนคือ เทคนิคการใช้ไฟในการปรุงอาหารตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ซึ่งสะท้อนผ่านการทำงานร่วมกับเชฟ Paolo Vitaletti จากร้าน Appia ที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ ต้องบอกว่า สำหรับผมแล้ว เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและน่าศึกษาเพิ่มเติมมาก”


“ศิรเดช” ยังเล่าถึงประสบการณ์การทำงานกับเชฟ Paolo Vitaletti ในคืนพิเศษที่ดุสิตธานี ลากูน่า ภูเก็ต ด้วยว่า การได้ร่วมงานกับเชฟที่มากความสามารถ ทำให้ได้เรียนรู้เทคนิคการจัดการและการปรุงอาหารในระดับที่เรียกว่า “ขั้นเทพ” จริงๆ เพราะแม้จะต้องเผชิญกับปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบไม่ได้คุณภาพตามที่ต้องการ หรือวัตถุดิบไม่เพียงพอ แต่ด้วยประสบการณ์อันโชกโชน เชฟก็จะแสดงให้เห็นว่าสามารถนำอะไรมาปรับแต่งหรือทดแทนเพื่อให้คงรสชาติที่ต้องการไว้ได้
“ผมว่า พลังบวกของเชฟในระหว่างทำงานสำคัญมาก เพราะเชฟสามารถส่งต่อมันให้กับทุกคน มันคือสิ่งที่ผมอยากให้ทีมงานของดุสิตธานีได้เรียนรู้ และซึมซับไว้เพื่อนำไปใช้กับลูกค้า ถ้าถามว่าค่ำคืนที่ได้ทำงานร่วมกับเชฟเป็นค่ำคืนที่มีค่าสำหรับผมแค่ไหน ผมตอบอย่างไม่ลังเลว่า เป็นอีกโมเม้นท์ที่ผมคงไม่ลืม และยิ่งทำให้ผมอยากจะเรียนรู้เรื่องอาหารต่อไปเรื่อยๆ เพื่อส่งต่อโมเม้นท์ดีๆ แบบนี้ให้กับลูกค้าของดุสิตธานี”

ผู้บริหารหนุ่มไฟแรงของกลุ่มดุสิตธานียังกล่าวด้วยว่า หลังจากนี้ดุสิตธานีจะค่อยๆ สร้างสรรค์กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับ “อาหาร” เพิ่มมากขึ้น เพราะผู้บริโภคในวันนี้มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบความแปลกใหม่ ชอบการถ่ายรูป ชอบแบ่งปันรูปภาพและเรื่องราวของอาหาร เราอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ลูกค้าได้สัมผัสกับอาหารในมุมมองใหม่ๆ ผ่านกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น โดยหลังจากนี้จะได้เห็นโมเดลความร่วมมือของดุสิตกับเชฟที่มีชื่อเสียงในลักษณะ Chef Collaboration ที่โรงแรมในเครือของเราตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในโครงการใหม่ๆ ที่เราจะร่วมมือกับท็อปเชฟ ที่มีชื่อเสียงระดับประเทศในการนำเสนออาหารและอีเว้นท์พิเศษๆ มากขึ้น
“ผมหวังว่า ทุกคนจะหลงใหลไปกับเรื่องราวของอาหารที่ดุสิตธานีพยายามนำเสนอ และมีความสุขกับมัน” ศิรเดชกล่าวปิดท้าย