Banner Placeholder
Banner 1
Banner 2
Banner 3
Banner 4

Akiyoshi Japanese Restaurant เปิดตำนานชาบู สุกี้ สูตรต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ ท้าให้ชิมทุกวัน

Akiyoshi Japanese Restaurant เปิดตำนานชาบู สุกี้ สูตรต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ ท้าให้ชิมทุกวัน


Akiyoshi Japanese Restaurant ชาบู สุกี้ สูตรต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆ



การได้มีช่วงเวลาที่พิเศษและอบอุ่น ได้ชิมของอร่อยๆ พร้อมดูแลสุขภาพของเราเองและคนในครอบครัวไปด้วย น่าจะเป็นสิ่งที่หลายคนอยากทำ และไม่ลังเลที่จะทำเมื่อมีโอกาสนะคะ เฉกเช่นเดียวกับวันนี้ ที่เราเองได้มีโอกาสพาคนในครอบครัวไปลิ้มลองอาหารญี่ปุ่น ที่เขาว่ากันว่ารสชาติและขั้นตอนการปรุงนั้นถอดแบบมาจากต้นตำรับญี่ปุ่นแท้ๆเลยค่ะ


ร้านที่เราเลือกไปจับจองที่นั่งสำหรับครอบครัวคือร้าน Akiyoshi Japanese Restaurant สาขา Asiatique The Riverfront ร้านนี้มี 4 สาขา และสาขาน้องใหม่เตรียมเปิดอีก 1 สาขา คือสาขาสยามสแควร์วัน โดยมีสาขาแรกอยู่ที่พระโขนง ซึ่งเปิดบริการมาแล้ว 19 ปี นี่จึงทำให้เราและครอบครัวมั่นใจว่าวันนี้เราจะได้ชิมรสชาติแบบญี่ปุ่นขนานแท้อย่างแน่นอน


ขึ้นชื่อว่าร้านอาหารญี่ปุ่นแบบต้นตำรับแล้ว บรรยากาศในร้านก็คงความเป็นญี่ปุ่นไว้ได้ไม่ต่างจากการไปนั่งทานอาหารในถิ่นของเขาเลยค่ะ ด้วยทางร้านมีสถาปนิกฝีมือดีชาวญี่ปุ่นเป็นผู้ออกแบบ ทำให้ทั่วทุกมุมของร้านนั้นอบอวลไปด้วยความอบอุ่นในสไตล์ของครอบครัวญี่ปุ่น และมีกลิ่นอายความเป็นตะวันออกในแบบญี่ปุ่นแท้ๆ


เราเลือกนั่งในมุมที่ใกล้ๆ กระจกบานใหญ่ สามารถมองเห็นบรรยากาศภายนอกร้านได้ ด้วยคุณพ่ออยากทานอาหารไปและดูวิถีผู้คนไปด้วย อีกทั้งในมุมนี้ยังอยู่ใกล้กับซูชิบาร์ ซึ่งเราจะได้เห็นลีลาท่าทางอันคล่องแคล่วของเชฟระหว่างหยิบจับส่วนประกอบของแต่ละเมนู ดูแล้วก็เพลินไม่ต่างจากการดูละครเวทีเลยค่ะ


ส่วนบรรยากาศในมุมอื่นๆ ก็ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของแขกท่านอื่นๆไม่แพ้กัน ซึ่งเป็นไปตามสไตล์ของแต่ละคน อย่างบางกลุ่มเลือกนั่งในโซนตรงกลางร้าน ที่มีหลายโต๊ะเรียงราย พร้อมพนักงานที่พร้อมบริการอย่างทั่วถึง ได้อารมณ์ของความครึกครื้น


หรือบางกลุ่มอยากได้ความเป็นส่วนตัว ก็เลือกจับจองในส่วนของห้องขนาดเล็ก เหมาะสำหรับสมาชิกจำนวนน้อยๆ แต่ถ้าสมาชิกเยอะหน่อย ทางร้านก็มีห้องขนาดใหญ่ไว้พร้อมบริการค่ะ


ขยับจากแต่ละโซนของร้าน มาโฟกัสที่อาหารกันบ้าง ร้านนี้ก่อนมาเราได้ยินชื่อเสียงความเป็นต้นตำรับ รสชาติระดับตำนานมาจากเพื่อนๆอยู่พอสมควร แต่ที่เป็นจุดดึงดูดให้เราอยากมาชิมด้วยตัวเองก็คือ การได้สังเกตดูลูกค้าของร้าน ซึ่งมีสัดส่วนของคนต่างชาติโดยเฉพาะคนญี่ปุ่นอยู่ค่อนข้างเยอะ ประกอบกับเชฟที่ดูแลทุกเมนูของร้าน และทุกสาขานั้นเป็นชาวญี่ปุ่น นี่จึงทำให้เรามั่นใจว่ามาแล้วไม่ผิดหวังแน่นอน


วันที่เราไปถือเป็นโชคดีอย่างมากที่มีโอกาสได้พบกับเชฟชาวญี่ปุ่นถึงสองท่าน ที่ดูแลใส่ใจลูกค้าเป็นอย่างดี และสืบทราบมาว่าท่านหนึ่งชื่อเชฟ Hirokazu Uehara เป็น Executive chef ของร้านในสาขาเอเชียทีค ส่วนอีกท่านคือเชฟ ​Masato Hamada เป็น Coperate Executive chef ซึ่งดูแลทุกเมนูอาหารในทุกสาขาของ AKIYOSHI และทั้งสองท่านก็มีดีกรีเป็นถึงเชฟกระทะเหล็ก จึงการันตีฝีมือได้ว่ายอดเยี่ยมจริง เพราะนอกจากจะถ่ายทอดรสชาติอาหารชั้นเลิศแล้ว ยังดูแลใส่ใจลูกค้าพร้อมคำแนะนำในการทานอาหารญี่ปุ่นให้ถูกต้องตามสไตล์และเข้าถึงรสชาติแบบต้นตำรับให้กับเราและลูกค้าท่านอื่นๆ อย่างเป็นกันเองอีกด้วย


เมื่อมากับครอบครัว คงไม่มีเมนูไหนที่ช่วยสมานความอบอุ่นได้ดีเท่ากับ Shabu Shabu ในแบบของ AKIYOSHI เรามาดูกันที่ Shabu Shabu แบบ A la Carte ก่อนนะคะ เมนูนี้จะถูกจัดเป็นเซ็ตซึ่งจะมีหลากหลายมาก ได้แก่ เซ็ตหมูราคา 490 บาท เซ็ตเนื้อราคา 590 บาท เซ็ตไก่ราคา 480 บาท เซ็ตเบคอนราคา 490 บาท เซ็ตทะเลราคา 590 บาท และ เซ็ตมังสวิรัติราคา 520 บาท โดยทั้งหมดนี้จะมาพร้อมผัก และเนื้อสัตว์ที่เลือก 1 จานใหญ่


พอสั่งเซ็ตที่ชื่นชอบแล้ว เชฟก็ช่วยแนะนำวิธีการทานชาบูให้อร่อยแบบต้นตำรับให้เราฟังได้อย่างละเอียดมาก คือ ให้ต้มน้ำซุปให้เดือดก่อน แล้วใส่ผักต่างๆลงไป ตามด้วยเห็ด จากนั้นก็ชิมรสชาติของผักและน้ำซุป แล้วใส่วุ้นเส้นลงไป และในระหว่างที่รับประทานผักต่างๆ นี้เราสามารถลวกเนื้อ แล้วจิ้มกับซอสงาหรือพอนซึ ทานไปด้วยได้เลย ก็จะได้รสชาติที่อร่อยและเข้าถึงความนุ่มของเนื้อในเวลาเดียวกัน จนสุดท้ายเมื่อใกล้จะอิ่มท้อง จึงใส่อุด้งลงไป ตักทานพร้อมซดน้ำซุป โดยรสน้ำซุปที่ได้นั้นจะมีความหวาน หอม ซึ่งมาจากผักและเนื้อสัตว์ต่างๆ ที่เราใส่ลงไปก่อนหน้านั้นค่ะ


นอกจากน้ำซุปที่อร่อย รสชาติแบบต้นตำรับแล้ว ทีเด็ดของชาบู ชาบู สูตร AKIYOSHI ยังอยู่ที่ซอส 2 แบบ คือพอนซึที่มีความกลมกล่อม และเปรี้ยวพอดี หากต้องการเพิ่มความเผ็ดและหอมมากขึ้น ก็สามารถใส่ chilli daikon หรือพริกที่ผสมกับหัวไชเท้าลงไปพร้อมกับต้นหอม จะทำให้รสชาติอร่อยเป็นเอกลักษณ์ รวมถึงซอสงาที่เข้มข้นได้รสชาติความหอมของงาคั่ว ซึ่งทางร้านพิถีพิถันตั้งแต่ขั้นตอนการคัดเลือกงา การคั่ว จนออกมาเป็นซอสงาที่สดใหม่ และทุกสาขานั้นจะนำซอสมาจากครัวกลาง จึงมั่นใจได้ว่าทานสาขาไหน รสชาติของซอสก็ไม่ผิดเพี้ยนไปจากกันแน่นอน


เนื่องด้วยสมาชิกครอบครัวเยอะ ความชอบอาจไม่เหมือนกัน เมื่อเสียงหนึ่งอยากทาน Sukiyaki แบบ AKIYOSHI สมาชิกคนอื่นๆ ก็เฮตาม เพราะอยากชิมรสชาติที่เป็นสูตรต้นตำรับส่งตรงจากญี่ปุ่นเหมือนกัน เมนูนี้ถ้าสั่งแบบ A la Carte ก็มีให้เลือกเป็นเซ็ตเหมือนกันคือ เซ็ตหมูราคา 490 บาท เซ็ตเนื้อราคา 590 บาท เซ็ตไก่ราคา 480 บาท เซ็ตเบคอนราคา 490 บาท เซ็ตทะเลราคา 590 บาท และเซ็ตมังสวิรัติ 520 บาท พร้อมผักสดและเนื้อสัตว์ที่เลือก 1 จานใหญ่


การทาน Sukiyaki แบบ AKIYOSHI ให้ท่องประโยคง่ายๆ เพื่อความอร่อยที่ยาวนานเลยคือ “ผัดหอม เทซุป ลวกเนื้อ แล้วจุ่มไข่” โดยเมนูนี้เราจะทานแบบกึ่งผัดกึ่งต้ม ซึ่งพอเตาเริ่มร้อนเราก็เตรียมผัดหอม แต่ถ้าใครไม่อยากทำเองก็ให้พนักงานทำให้ก็ได้ค่ะ เมื่อหอมหัวใหญ่ และต้นหอมญี่ปุ่นถูกผัดจนได้ที่ในไฟปานกลาง เราก็นำเนื้อจำนวนเล็กน้อยลงไปผัดให้พอสุกก่อน เพื่อเพิ่มความหอมและกลมกล่อมของสุกี้ยากี้ จากนั้นก็เติมน้ำซุปเล็กน้อย แล้วจึงใส่ผัก เส้นบุก เห็ด และ เต้าหู้ขาว ตามลงไป


เคล็ดลับคือเราจะไม่วางเส้นบุกไว้ใกล้เนื้อ เพราะจะมีสารที่ทำให้เนื้อหยาบ ให้ใช้เห็ดหรือผักวางคั่นระหว่างเส้นบุกกับเนื้อจะได้รสชาติที่ดี และเมื่อทุกอย่างเข้าที่ ก็นำเนื้อที่พร้อมจะทานลวกตามความชอบ เมื่อได้ความสุขตามต้องการ ก็นำมาจุ่มไข่ดิบรับประทานได้เลยค่ะ

ในระหว่างรับประทานนั้น ให้ใช้ไฟอ่อน เมื่อน้ำงวดลง ก็ค่อยๆเติมน้ำซุปสุกี้ลงไป ไม่ควรเติมทีเดียวเพราะน้ำซุปจะถูกเคี่ยวจนงวดและมีรสชาติเค็มเกินไป ส่วนการทานที่ถูกต้องตามต้นตำรับนั้นเราจะไม่ทานกับซอส แต่จะใช้ไข่ดิบเป็นซอสเลย แต่ถ้าใครติดรสชาติซอสก็สามารถสั่งมาเพิ่มต่างหากได้ โดยซอสมีราคาต่อชุด ชุดละ 40 บาท (ซอสงาและซอสพอนซึอย่างละ 1 ถ้วย)


สำหรับใครที่ทานจุเป็นพิเศษ ทางร้านก็มี Shabu Shabu และ Sukiyaki เสิร์ฟแบบ Buffet ด้วย โดยเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่าง ชาบู ชาบู กับสุกี้ยากี้ ราคา 420++ (494 บาท Net) หรือถ้ารักพี่เสียดายน้องก็เลือกได้ทีเดียวสองอย่างในราคา 470 ++ (553 บาท Net) โดยในเซ็ตจะมีทั้งเนื้อวัว หมู ไก่ และเบคอน โดยที่สาขาเอเชียทีค ไม่จำกัดเวลาในการทาน ส่วนสาขาอื่นๆ จำกัดเวลาในการทาน 1 ชม. พร้อมฟรีชารีฟิว (ชาเขียวเย็น, ชาจีนเย็น, ชาเขียวร้อน) รวมทั้งยังมีข้าวสวย และข้าวกระเทียมให้ด้วย สำหรับครอบครัวที่มีเด็กอายุ 4-12 ปี จะเสียครึ่งราคา ส่วนอายุต่ำกว่า 4 ปี ทานฟรีค่ะ


นอกจากเซ็ตชาบู ชาบู และสุกี้ยากี้ ทั้งแบบ A la Carte และ Buffet แล้ว ทางร้านยังมีเมนูจานเดียว และเมนู A la Carte อื่นๆให้เลือกทานอีกด้วย เหมาะสำหรับผู้ที่มาท่านเดียว หรือผู้ที่อยากทานอะไรเบาๆค่ะ


สำหรับเมนู A la Carte โต๊ะเราสั่งไป 4 เมนูค่ะ เริ่มที่ Sushi Set หรือชุดซูชิ เมนูนี้ถือเป็น Special Menu ที่ทางร้านจะทำเฉพาะเดือนมิถุนายน 2557 เท่านั้น และจะไม่มีระบุบในรายการอาหาร หากใครจะทานให้กระซิบบอกเชฟได้เลยค่ะ สำหรับส่วนประกอบของเมนูนี้จะมีซูชิหน้าต่างๆรวม 5 คำ มากิ 1 Roll เสิร์ฟคู่กับไข่ตุ๋นและซุปมิโสะ ทั้งนี้ชนิดของปลาที่ใช้สำหรับเป็นส่วนประกอบจะขึ้นอยู่กับว่าวันนั้นทางร้านมีปลาอะไรเป็นพิเศษเข้ามา แต่รับรองได้ว่าคุณภาพจัดเต็มแน่นอนค่ะ


เซ็ตที่สองเป็น Sashimi Set หรือชุดปลาดิบ ในเซ็ตนี้จะมีอาหารทั้งหมด 7 อย่าง มีทั้งจานปลาดิบ ที่ประกอบไปด้วยปลาแซลมอน ทูน่า กระพงแดง ปลาหมึกยักษ์ และปูอัด โดยชนิดของปลาจะขึ้นอยู่กับวันว่าปลาชนิดไหนสดหรือมีมากในฤดูกาลนั้นๆ นอกจากปลาแล้วก็มี Nimono (นิโมโน) เป็นเครื่องเคียงชนิดต้ม ไข่ตุ๋น ผักดอง ซุปมิโสะ ปลาซาบะย่าง และข้าวเปล่า เซ็ตนี้นอกจากจะส่วนประกอบเยอะแล้ว หน้าตายังดี และที่สำคัญคือรสชาติอร่อยมาก เพราะทุกอย่างเน้นที่คุณภาพและความสดใหม่


ถัดมาเป็น Chirashi หรือข้าวหน้าปลาดิบรวม เมนูนี้น้องสาวเราถูกใจมาก เพราะเป็นสาวกคนรักปลาดิบ ยิ่งเจอของดีมีคุณภาพก็ยิ่งอดหลงใหลไม่ได้ เมนูนี้จะเสิร์ฟคู่กับซุปมิโสะ และมีเนื้อปลาหลากหลายชนิด ที่คัดสรรวัตถุดิบสดใหม่ ส่งตรงจากประเทศญี่ปุ่นเลยค่ะ


ปิดท้ายด้วย Saba Shio Yaki หรือปลาซาบะย่าง เมนูนี้ใช้ปลาซาบะนอร์เวย์ ย่างจนกรอบนอกนุ่มใน เนื้อปลายังคงฉ่ำน้ำ และจากการย่างด้วยเกลือ เมื่อผสมกับความหวานของเนื้อปลาก็จะได้รสชาติที่ลงตัวมาก


นอกจากนี้ทางร้านยังมีมุมสาเกบาร์สำหรับนั่งจิบ เครื่องดื่มแก้วโปรด เคล้าเสียงเพลงและบรรยากาศในช่วงเย็นๆ ถึงค่ำ ได้อย่างเพลิดเพลินอีกด้วย ซึ่งพอไปถึงร้านต้นตำรับญี่ปุ่นทั้งที โต๊ะเราก็ขอสั่งมาชิมบ้าง เริ่มจาก Akiyoshi Special "Three Fruit Liquor Tasting Set" โดยแบ่งขายเป็น 3 ช็อต 3 รสชาติ ในราคา 150 บาท ถือว่าคุ้มมาก


ถ้าเรียงลำดับในรูปจากซ้ายไปขวาจะมี Umenoyado Yuzu โดดเด่นที่ความหอมและรสชาติที่สดชื่นของผลยูซึ แก้วนี้ทางร้านแนะนำให้ชิมมากๆค่ะ แก้วกลางเป็น Komasa no Umeshu โดดเด่นที่ความหอมของบ๊วย กับรสชาติเข้มข้นผสมผสานความนุ่มที่ลงตัว และแก้วขวาสุดเป็น Kiyou Sumomo หอมหวานปนเปรี้ยวนิดๆ จากพรุน เคล้าความนุ่มละมุนเมื่อลิ้มลอง ทำให้หลายคนติดใจถึงกับซื้อกลับบ้านเลยทีเดียว


สาเกชุดที่ 2 จะมี 3 รสชาติ และสามารถสั่งแบบช็อตมาดื่มได้เช่นกัน โดยจะมีทั้ง Ohyama junmai nigori สาเกจากเมือง Yamagata สาเกที่ยังคงความครีมมี่ ถึงแม้ไม่ผ่านการกรอง แต่ก็สะอาดและเป็นรสชาติที่ให้ความสดชื่น เหมาะสำหรับเสิร์ฟเย็นและแช่ตลอดเวลา เข้ากับหน้าร้อนในเมืองไทยมาก ต่อด้วย Taiheizan Kimoto junmai เป็นสาเกจากเมือง Akita ที่ทำมาจากข้าว yamadanishiki เป็นแบบครีมมี่ หมักบ่มแบบวิถีดั้งเดิมเพื่อให้เกิดกรดเลคตริค ทำให้มีรสชาติพิเศษ และมีความนุ่มไม่เหมือนสาเกชนิดอื่น เหมาะกับอาหารจานปลา โดยเฉพาะปลาซาบะย่าง ปิดท้ายเซ็ตนี้ที่ Shirayuki Ginjo สาเกจากเมือง hyogo เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า white snow เป็นสาเกพรีเมี่ยม รสชาตินุ่ม เหมาะกับผู้ที่เริ่มดื่มสาเก หรือดื่มระหว่างทานอาหารจะช่วยดึงรสชาติของซุชิ ซาชิมิได้ดี


สมาชิกบางคนในครอบครัวอยากลองเติมสีสันด้วยคอกเทลดูบ้าง ทางร้านเลยแนะนำ Akiyoshi Marry จัดเสิร์ฟมาในแก้วทรงสูง หน้าตาสวยงาม แก้วนี้มีส่วนผสมของ Sake, Shochu, Tomato Juice and Spices ราคา 150 Baht


รสชาติของ Akiyoshi Marry จะลงตัวมาก ด้วยได้แรงบันดาลใจจากคลาสสิคคอกเทล อย่าง Bloody Marry โดยส่วนผสมที่มาจากสาเกจะทำให้รสละมุน ผสมผสานกับเครื่องเทศ ทำให้สดชื่น แก้วนี้นักดื่มส่วนใหญ่นิยมดื่มเพื่อเพิ่มความสดชื่นหลังจากปาร์ตี้หนักๆ


ต่อมาเป็น The Darkness มีส่วนผสมของ Sake, Rum, Green tea ราคา 220 Baht แก้วนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบรสชาติเข้มๆของสาเก และความหอมปลายลิ้น ที่ได้จากชาเขียวซึ่งนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นค่ะ แก้วนี้ผู้ชายในโต๊ะส่วนใหญ่ชื่นชอบมาก


สำหรับเราแล้วชื่นชอบ Aka Sake Martini ซึ่งมีส่วนผสมของ Sake, Shochu, Strawberry and Cherry ราคา 210 Baht แก้วนี้ถือเป็นแก้วโปรดของเราประจำมื้อนี้เลย เพราะเป็นสาเกคอกเทลที่ได้ความหอมของสตรอว์เบอรี่และเชอรี่ รวมกับสาเกรสนุ่ม แถมยังมีสีสันที่สวยงาม ชวนให้ดื่มได้เรื่อยๆค่ะ


ส่วนใครที่ชื่นชอบในแนวของเบียร์ ทางร้านก็มี เบียร์นกฮูก รสชาติเยี่ยม นำเข้าจากญี่ปุ่น พร้อมให้คอเบียร์มาสัมผัสความนุ่ม เคล้าบรรยากาศชิลล์ๆ ได้ทุกวันค่ะ


ปิดมื้ออร่อยกับความครัวไปอย่างอบอุ่น สมาชิกทุกคนดูจะชื่นชอบและประทับใจกันมาก เราในฐานะคนแนะนำมา ก็อดดีใจและปลื้มใจไม่ได้ ที่เลือกร้านไม่ผิด หากใครสนใจอยากมาชิมหรือพิสูจน์ความอร่อยแบบต้นตำรับแท้ๆ สไตล์ญี่ปุ่น ก็สามารถมาได้ที่ AkiyoshiI Japanese Restaurant สาขา Asiatique The Riverfront ร้านเปิดทุกวันจันทร์ - อาทิตย์ เวลา 16.30 น. – 23.30 น. Last order 22.30 น. โทรสอบถามหรือจองโต๊ะได้ที่ 02-108-4310-11, 088-020-5205 หรือ ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://eat.edtguide.com/377607_akiyoshi-japanese-restaurant แล้วคุณจะพบว่ารสชาติที่ใช่ในแบบต้นตำรับนั้น มีเสน่ห์และน่าหลงใหลจริงๆ คอนเฟิร์ม


https://www.edtguide.com/content/eat-selected/84743





Information

OPEN

- ไม่พบข้อมูล

TEL

- ไม่พบข้อมูล

PRICE

- ไม่พบข้อมูล

ADDRESS

- ไม่พบข้อมูล

FACILITIES

- ไม่พบข้อมูล

CONTACT

- ไม่พบข้อมูล

SHARE

share

#hashtag

RELATED