หน้าฝนใครว่าต้องนอนอยู่บ้าน เปิดเพลงเบาๆ นั่งมองเหม่อฟ้าฟังเสียงฝนตกกระทบหลังคา ไม่ดีๆ ออกไปเปิดโลกกันดีกว่าค่ะเที่ยวเมืองไทยไม่ไปไม่รู้ ประโยคนี้ยังใช้ได้เสมอนะใครว่าเชยขอเถียงเลยเพราะเมืองไทยยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกเยอะมากที่เรายังไม่รู้ ยังไม่เคยไป อาจจะเคยเห็นแต่ภาพถ่ายที่กระตุ้นต่อมอยากเป็นพักๆ เคยได้ยินคำว่า กุ้ยหลินเมืองไทย เขื่อนรัชประภา เขาสก เขื่อนเชี่ยวหลาน มานานแล้ว เอ๊ะ! ทำไมเหมือนสี่ที่เลยจริงๆก็คือชื่อเดียวกันนั่นแหละค่ะ มีทั้งนิคเนม ชื่อจริง ชื่อเล่น ชื่อเป็นทางการ เรียกกันไปตามสะดวก พร้อมจะออกเดินทางไปกับเราแล้วหรือยัง เก็บกระเป๋า (ไม่เยอะมากแค่เสื้อผ้า หน้าผม ต้องพร้อมเสมอ) ชาร์ตแบตกล้องให้พร้อม บิกินีไม่น่าต้องใช้ หรืออยากแหวกแนวก็ได้เลยนะ ไม่เคยเห็นใครถ่ายเราก็ประเดิมเลยก็ไม่มีใครว่า ^_^ ล้อหมุนตอน 3 ทุ่ม มุ่งหน้าสู่เขื่อนรัชประภา ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก อ.บ้านตาขุน จ.สุราษฏร์ธานีกันเลย
ประมาณ ตี 5 ก็ถึงที่หมาย ฟ้ายังไม่สว่างดวงอาทิตย์ยังไม่ขึ้นจุดนี้ขอให้คุณหาที่ล้างหน้า แปรงฟันให้เรียบร้อย อย่าเหมือนเราที่มัวแต่หลับ พอแสงอาทิตย์ส่องสว่างความงามก็ปรากฏบอกเลยว่าสวยมาก เคลิ้มมาก อยากหยุดเวลาไว้ที่จุดนี้มากมาย ไม่ต้องมโนถึงเมืองนอกอีกต่อไปเมืองไทยสู้ได้สบายเลยค่ะ เช้าๆนะหมอกมาเต็มเลยค่ะ ยิ่งหน้าฝนแบบนี้แหละหมอกสวยกว่าหน้าหนาวอีกนะขอบอก แต่ที่อยากจะกรี๊ดและโกรธตัวเองที่สุดคือลืมกล้องค่า ถามว่าเจ็บมั้ยบอกเลยว่ามาก!! ภาพที่เห็นในรีวิวนี้บอกเลยว่าก็อบมา ขอเพื่อนมา อย่าว่ากันนะคะ (ขอวิดพื้นทำโทษตัวเอง 10ที)
หลังจากฟินกับวิวบนสันเขื่อนเรียบร้อยแล้วก็หาที่จอดรถให้เรียบร้อย ก็มุ่งหน้าสู่ท่าเรือพร้อมเดินทางสู่ที่พักอันสวยงามที่เราได้จองไว้ แนะนำว่าให้โทรประสานงานกับที่พักนะคะเขาจะเอาเรือมารับเราเองค่ะ ไม่ต้องกระวีกระวาดเดินถามหาเรือ สปีทโบ๊ทหรอกนะคะบอกเลยว่าไม่มีค่ะ! เรือหางยาวติดเครื่องยนต์จะพาไปส่งถึงที่หมาย แต่วิวซ้ายขวานี่สิ ไม่รู้จะบรรยายยังไงไปดูภาพเลยดีกว่า
เรือก็ขับไปช้าๆ ให้เราได้ชมวิวสองข้างทางไปเรื่อยๆ ก็จะเจอแพที่พักของแต่ละรีสอร์ตเรียงรายกันอยู่บนผืนน้ำสีฟ้าอมเขียวแต่ใส่เวอร์ๆ โอบล้อมด้วยขุนเขาตระการตา ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเราก็ถึงที่พักของคืนนี้ พันวารีย์ รีสอร์ต
พันวารีย์ รีสอร์ต เรียกว่า เป็นรีสอร์ตหรูบนผืนน้ำ ระดับ 5 ดาว ห้องพักมีแอร์ทุกห้อง (โดยส่วนใหญ่แพที่นี่จะเป็นห้องแบบพัดลม) เป็นแพน้องใหม่มาแรงที่เพิ่งเปิดตัวไปตอนต้นปี 2556 แพพันวารีย์ตั้งอยู่บนบริเวณคลองโหลง ซึ่งเป็นคลองที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ใกล้กับทางขึ้นไปชมถ้ำปะการัง และทะเลในซึ่งมีความกว้างกว่า 500 ไร่ รูปแบบการดีไซน์เป็นสไตล์กึ่งแอนทีกผสมกึ่งโมเดิร์น ที่รวมเอาความพิเศษของ 2 มรดกทางวัฒนธรรมมาผสมกันอย่างลงตัว เป็นเอกลักษณ์ และงดงาม โครงสร้างทำด้วยวัสดุเลียนแบบธรรมชาติเพื่อให้ได้ความคงทน และแข็งแรง ประกอบกับต้องการลดการใช้วัสดุจากธรรมชาติให้น้อยที่สุด (จริงๆไม่ได้รู้อะไรมากถามเขามาอีกที)
เห็นภาพแบบนี้แล้วไม่รอช้ารีบเอากระเป๋าเข้าห้องพัก ซี่งห้องพักของที่นี่จะมี 2 แบบ คือ บ้านเดี่ยวพักได้ 2-4 คน ราคา 11,000 บาท บ้านแฝด 5-8 คน ราคา 19,000 บาท ราคานี้รวมค่าอาหารเช้า ค่าเรือ รับ-ส่ง ค่าเข้าอุทยาน ค่าชมกุ้ยหลิน ค่าเรือคายัค เรียบร้อยแล้วค่ะ
นอนมุมนี้เปิดม่านให้สุด แล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์กันดีกว่า เตียงนุ่มๆ ห้องกว้างๆ วิวแบบนี้เชื่อว่าหลายคนยอมจ่ายสักครั้งในชีวิตก็คุ้มเกินคุ้มแล้วว่ามั้ยคะ เอาล่ะพักผ่อนให้หายเหนื่อยแล้วก็ได้เวลาไปดูไฮไลต์ที่ใครๆก็บอกนักคุยหนาว่างามสุดๆ
เรานั่งเรือไปชมกุ้ยหลินเมืองไทย จริงๆที่แห่งนี้คือเขาสามเกลอ เขาหินปูนสามหน่อที่แช่น้ำใสสีฟ้าสวย เป็นความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้เกิดความสวยงามขึ้น ทำไมจึงเรียกกุ้ยหลินเมืองไทยนะเหรอ ที่นี่มีความเหมือนกุ้ยหลินที่เมืองจีนอย่างมากตรงที่มีหินงอกออกมาเหมือนปะการัง เรียงรายไปทั่วแถมยังโอบล้อมด้วยขุนเขา ท่ามกลางผืนน้ำ หมอกบางๆ ให้ความเย็นสบายตลอดทั้งปี หลังจากชื่นชมความสวยงามกันจนพอใจแล้ว คนขับเรือก็พาไปยังจุดต่อไปคือถ้ำปะการัง ข้างในจะเป็นหินงอก หินย้อย ขอบอกเลยว่าจุดนี้ต้องเดิน และเดิน ปืนบ้างประปราย ข้างในสวยมั้ยก็สวยงามดีแต่เคยเห็นที่สวยกว่านี้เยอะ สนุกก็ตรงได้เดินป่านี่ล่ะ กลับไปที่รีสอร์ตก็เย็นย่ำแล้วใครใคร่พาเรือคายัค โดดน้ำ นั่งร้องเพลง หรือจะถ่ายรูปก็ตามสะดวกเลยค่ะ
เล่นน้ำกันเพลินแล้ว ดวงอาทิตย์ลับทิวเขาเราก็ต้องไปหาอาหารกันดีกว่า ไปดูหน้าตาของมื้อเย็น ยั่วน้ำลายมากมายขออวดด้วยภาพค่ะ
หลังจากอิ่มแล้วก็เดินย่อยอาหารกับบรรยากาศยามค่ำคืนของรีสอร์ตก็ยามไม่แพ้ตอนกลางวัน ลมพัดเย็นสบายเชียวล่ะ
เผลอแป๊บเดียวหนึ่งวันที่พันวารีย์รีสอร์ตก็หมดเวลาลงแล้ว ตื่นเช้าทานอาหารเช้า เล่นโยคะสักหน่อยก่อนจะเก็บกระเป๋ากลับกรุง บอกเลยว่าคืนเดียวไม่พอแน่นอนใครอยากปลีกวิเวกลำพังหรือจะไปกับแก๊งค์ก็เริ่ด จะอารมณ์ไหนที่นี่ก็เหมาะมาก หรืออยากเซฟงบสักหน่อยก็ยังมีตัวเลือกอีกหลายที่ เช่น แพ 500 ไร ,แพภูตะวัน ,แพนางไพร,แพรเพลินไพร แต่ละแพก็จะมีแพ็กเกจ 2 วัน 1 คืน ยังไงลองหาข้อมูลกันนะคะ สำหรับทริปนี้ได้ทั้งความสุข ความสนุก เต็มกระเป๋า ใครอยากไปฟินแบบเราก็ไปกันได้เลย แล้วอย่าลืมถ่ายรูปสวยๆ มาอวดกันด้วยล่ะ
ย้ำการเดินทางอีกทีเผื่อจะมีคนหลงไปถึงเบตง ยะลา จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 (ถนนเพชรเกษม) ไปจนถึงจังหวัดชุมพรจากนั้นตรงไปตามทางหลวงหมายเลข 41 จนถึง อ.พุนพิน ตรงสี่แยก ที่สามารถเข้าจังหวัดสุราษฎร์ธานีได้ไม่ต้องเข้าตัวจังหวัด ให้ตรงไปเรื่อยๆ จนถึงแยก ท่าโรงช้าง ให้เลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 401จากนั้นประมาณ 40 กม. ก่อนจะถึง ตัว อ.บ้านตาขุนจะมีป้ายใหญ่ ของเขื่อนรัชชะประภา (เขื่อนเชี่ยวหลาน) ทางขวามือ ก็เลี้ยวเข้าไปเลยค่ะ