อยู่เมืองนานๆ แล้วอาการอึดอัดเริ่มกำเริบ ถึงขนาดหนีแม่เที่ยวก็ยังยอม..นี่เป็นที่มาของทริปเที่ยวของเรารอบนี้ค่ะ พอดีมีธุระต้องขึ้นเหนือ ผ่านบ้านก็แวะบ้าน มีเวลาเหลือนิดหน่อยเลยบอกแม่กะทันหันว่าเดี๋ยวจะไปกางเต้นท์นอนในป่า ได้ยินแค่นั้นก็ทำเอาคนวัยใกล้ชราเป็นกังวล เพราะเข้าหน้าฝน จะไปอยู่ยังไง ทั้งที่เอ่ยปากห้าม แต่ด้วยรู้นิสัยว่า ถ้าเรื่องเที่ยวป่ากางเต้นท์ห้ามไปก็ไม่สำเร็จ และไม่ง่ายเหมือนห้ามไปเที่ยวผับ แม่จึงเอาเวลาที่เหลือเพียงครึ่งวันเช้าเตรียมเสบียงให้เยอะแยะ เหมือนเราจะไปอยู่เป็นอาทิตย์
ได้เสบียงครบ ล้อหมุน เตรียมออกจากบ้านเกือบบ่ายโมง ปลายทางของเราอยู่ที่ ช่องเย็น ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ค่ะ การเดินทางมาที่นี่ไม่ยากนัก เปิดแผนที่มาเรื่อยๆ ดูป้ายประกอบไปเดี๋ยวก็ถึง ถ้าใครไม่เคยมาและกลัวหลง ให้ยึดตลาดในตัวอำเภอคลองลาน จ.กำแพงเพชรไว้ ถ้าไปถึงที่นั่นได้ ก็ไม่ยากแล้วล่ะ และถ้าใครไม่ได้เตรียมเสบียงมาให้แวะซื้อที่นี่เลยค่ะ หรือถ้าจะโทรศัพท์ติดต่ออะไร ให้จัดการตั้งแต่อยู่จุดนี้ เพราะขับรถไปเรื่อสยๆสัญญาณโทรศัพท์จะเริ่มหาย ซึ่งเราก็ไม่แน่ใจว่าหายไปตั้งแต่ตรงไหน
เลยตลาดมาสักพักจะเจอด่านแรก ตรงนี้เราจะเสียค่าเข้าอุทยานฯ คนละ 40 รวมกับค่ารถยนต์เข้าไปอีก 30 บาท และที่นี่จะมีกฏข้อห้ามต่างๆไว้ให้สำรวจตัวเองว่ามีอะไรต้องห้ามติดตัวมาหรือเปล่า ระวังอย่าฝ่าฝืนกันล่ะ..เดี๋ยวเสียค่าปรับ..แล้วจะไม่สนุก ที่สำคัญคือเที่ยวแบบคนรุ่นใหม่ สัมผัสซึมซับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ต้องเที่ยวไปอนุรักษ์ไปด้วย
จากด่านแรก ถึงช่องเย็นจะมีระยะทางประมาณ 36 กม. แต่เราต้องแวะไปลงทะเบียนขอใช้พื้นที่กางเต้นท์ หรือเช่าบ้านพักตรงที่ทำการอุทยานฯ ก่อน ซึ่งอยู่ห่างออกไป 9 กม. เรามากางเต้นท์เลยเสียคนละ 30 บาท อ้อ..ที่นี่มีร้านอาหารบริการด้วย แต่ถ้าใครหวังมาซื้อที่นี่จะเสี่ยงกับการที่บางทีวัตถุดิบหมด ก็อดข้าวได้
ชำระค่าบริการทั้งหมดเรียบร้อยก็ออกเดินทางยาวๆได้แล้ว เส้นทางจะเป็นทางขึ้นเขา มีช่วงระหว่างเหวเยอะ ตอนเราไปถนนหนทางอยู่ในช่วงซ่อมบำรุง บวกกับมีฝนโปรยมาเป็นระยะๆ เลยต้องระวังมากๆ
ระหว่างทางมีที่เที่ยวและจุดชมวิวด้วย บางจุดเราก็แวะถ่ายรูป แต่บางที่ก็ไม่ได้จอด เพราะฝนตก อาศัยดูวิวต้นไม้เขียวๆข้างทาง กับท้องฟ้าสีสวยๆ ยามพ้นเมฆฝนก็เพลินแล้วค่ะ
ก่อนถึงจุดชมวิวขุนน้ำเย็น เราก็พบกับเหตุไม่คาดคิดคือดินถล่ม ซึ่งไม่แน่ใจว่าถล่มมาตั้งแต่เมื่อไร แต่ที่แน่ๆคือต้องจอดรอเจ้าหน้าที่เคลียร์ทางพักใหญ่
พอผ่านเส้นทางดินถล่มมาได้ เราก็จะพบเจอเจ้าหน้าที่ทำทางเป็นระยะๆ (ก็ดีนะ ไม่เหงาดี ไม่อย่างนั้นคงมีรถเราคันเดียว)
ไม่นานก็มาเจอจุดชมวิวขุนน้ำเย็น ที่นี่ลมเย็นและแรงจนหนาว ไม่น่าเชื่อว่าก่อนจะเข้ามาในพื้นที่อุทยานฯ นั้น รู้สึกร้อนจนตับจะแตก แต่ที่นี่เรารู้สึกหนาวจนแทบสั่น บางคนอาจเลือกกางเต้นท์นอนที่นี่ เพราะมีลานโล่งๆ กับห้องน้ำสะอาดๆไว้บริการด้วย
จากมุมนี้เราจะเห็นวิวภูเขาที่สลับซับซ้อนกันสวยงาม ไกลสุดลูกหูลูกตา
ขับรถมาอีกไม่นาน ดูวิวมาเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้วค่ะ “ช่องเย็น”
แค่ลงรถเท่านั้นลมสารพัดลมก็พัดมาประทะผิวตัว มันให้อารมณ์แบบเย็น สดชื่นจริงๆ แต่ยืนชื่นชมวิวได้ไม่นาน ยังไม่ทันได้คว้ากล้องมาลั่นชัตเตอร์ ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา โชคดีที่เพื่อนเราเล็งที่กางเต้นท์ในศาลาใกล้กับห้องน้ำไว้แล้ว เลยได้จอดรถใกล้ๆ ขนของไม่ไกล แต่ที่ลำบากหน่อยคือฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตก ตอนนั้นก็ห้าโมงเย็นแล้ว เราต้องรีบขนของฝ่าลมฝน แข่งกับเวลาเพราะกลัวจะมืดก่อน สภาพแต่ละคนจึงเปียกม่อลอกม่อแลก สนุกดีพิลึก
จริงๆแล้วที่ช่องเย็นจะเหมาะสำหรับมาชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม รวมทั้งจุดชมวิวใกล้เคียงก็ยังดูพระอาทิตย์ขึ้นได้ด้วย ถือเป็นอีกหนึ่งมุมโรแมนติก ที่เหมาะกับการไปทอดอารมณ์ชมวิวฟ้าสวยๆ (ถ้าฟ้าเปิด) แต่ด้วยเรามาหน้าฝน สิ่งที่เห็นตรงหน้าคือสายฝนและสายฝน ขนาดจะเยื้องกายไปฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้าหน้าที่ ที่พักอยู่บนนี้เพียง 2 ท่านเท่านั้น ยังไม่สามารถเลยค่ะ
จนเมื่อฝนเริ่มซา และเรากางเต้นท์ อาบน้ำเสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็เดินมาทักทาย บอกว่ามีอะไรขาดเหลือให้แจ้งได้ และคาดว่าคืนนี้จะมีเต้นท์เราเต้นท์เดียว เพราะเป็นคืนวันอาทิตย์ คนไม่ค่อยขึ้น แล้วก็ยังไม่วายใจดี บอกว่าเดี๋ยวค่ำๆจะเปิดไฟไว้ให้เผื่อเข้าห้องน้ำกัน แต่ดึกๆจะปิดเพราะต้องเซฟไว้ยามฉุกเฉิน ใครที่คิดจะมาต้องพกไฟฉายมาให้พร้อมนะคะ
ฝนรอบสองโปรยเม็ดมาอีกรอบ ตอนที่เรานั่งทานข้าวฝีมือแม่ ท่ามกลางบรรยากาศเย็นๆ ลมฝนชิลล์ๆ เคล้าความสดชื่นของผืนป่า และไม่มีทีท่าว่าฝนจะสงบลง ยิ่งตกเย็นยิ่งลมแรง ฝนลงเม็ดใหญ่ จนคนมาเยือนไปสำรวจที่ไหนไม่ได้ ช่วงเวลานั้นจึงเป็นนาทีของการนั่งอ่านหนังสือที่เรามักพกติดกระเป๋าไว้ตลอด หรือไม่ก็นั่งคุยกับเพื่อน เบื่อหน่อยก็ถ่ายรูป เพลียก็นอน หลับไปแป๊บๆ ตื่นขึ้นมาหิวก็กิน วนเวียนอยู่อย่างนั้น
เผลอหลับไปเมื่อไรไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็สี่ทุ่ม เสียงลมฝนยังกระหน่ำต่อเนื่อง และเป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกกลัวอารมณ์ของการนอนป่า อาจเพราะหลับๆตื่นๆ เสียงลมมันดังเกินไป และมีแค่เต้นท์เราเต้นท์เดียวกับเพื่อนอีกคน คืนนั้นเลยต่างคนต่างนอนไม่หลับ แต่ไม่มีใครบอกใคร เพราะคิดว่าอีกฝ่ายหลับไปแล้ว (ประเด็นคือเราไม่กล้าลืมตา เพราะกลัว..ผ ผ ผี จริงๆไม่เคยเห็น แต่มโนกลัวไปเอง)
กระทั่งเช้า ฝนก็ยังไม่หยุด เรานอนรอเวลาจนสาย จนเสียงฝนจางลง จึงออกมาเดินเล่น
ที่นี่อากาศเย็นมาก ให้อารมณ์เหมือนเป็นบ้านพักตากอากาศกลางภูเขา และเช้านี้เองที่ทำให้เราเห็นถึงข้อดีของการที่มีเต้นท์เราเพียงหลังเดียวที่นี่ เพราะมันทำให้รู้สึกชิลล์ เข้าถึงบรรยากาศที่สงบ สดชื่น ไม่วุ่นวาย เหมือนที่นี่คือที่ของเราคนเดียว..ว่างั้นนะ
เดินไปเดินมาก็มาเจอรายละเอียดของช่องเย็นซะที คำว่าช่องเย็นนั้น ก่อนนี้ในอดีตบ้างก็เรียก “ขุนเย็น ช่องเขา ช่องลม (กม93)” ซึ่งหมายถึงพื้นที่ราบระหว่างเขาขุนน้ำเย็น ขุนเขาบนเทือกเขาถนนธงชัย ซึ่งเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อนลดหลั่นลงมาจากภาคเหนือของประเทศไทย บนความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,340 เมตร เป็นจุดสูงสุดของถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง และเป็นจุดสุดท้ายที่ยานพาหนะเข้าถึง มีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส
ที่นี่มีความชุ่มชื้นตลอดปี และเป็นศูนย์รวมความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ รวมทั้งยังเป็นมุมชมวิว เป็นแหล่งดูนก และเส้นทางศึกษาธรรมชาติด้วย
ที่มาของชื่อช่องเย็น มาจากลักษณะทางภูมิประเทศในพิกัดนี้ ซึ่งด้านหนึ่งเปิดกว้างรับกระแสลมจากผืนป่าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง อีกด้านรับกระแสลมจากอุทยานแห่งชาติคลองลานและอุทยานแห่งชาติคลองวังเจ้า ทำให้มีอากาศหนาวเย็นตลอดทุกฤดู
จากลานกลางเต้นท์และมุมชมวิวของช่องเย็น ไม่ไกลกันนักถ้าเดินไปหลังจุดบริการนักท่องเที่ยว จะมีทางขึ้นไปภูสวรรค์
เส้นทางนี้มีระยะทางยาว 300 เมตร แต่ไม่ใกล้อย่างที่คิดเลย เพราะเป็นทางขึ้นเขาทั้งหมด บางช่วงสูงชัน บางช่วงถูกทำเป็นขั้นบันไดที่ยังดูกลมกลืนกับธรรมชาติ บางช่วงก็ทำเอาเราต้านแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหว พลาดพลั้งลื่นไปก็มี หากไปหน้าฝน ยิ่งต้องระมัดระวังมาก
พอขึ้นไปในระดับที่สูงมากพอ เราจะเห็นวิวเบื้องหน้าเป็นภูเขาสลับซับซ้อน ซึ่งยังคงความเขียวชอุ่ม ถูกปกคลุมด้วยมวลเมฆและไอหมอก ไม่ว่าจะพยายามมองไปไกลแค่ไหนก็มีแต่ไอหมอกและขุนเขา
จากจุดชมวิวนี้ ทำให้เราเข้าใจคำว่าช่องเย็นมากขึ้น โดยเราจะเห็นส่วนที่เรียกว่าช่องเย็น เป็นร่องระหว่างภูเขาพอดี ลมจึงพัดผ่านตลอด
ระหว่างชมวิวอยู่นั้น อากาศก็เริ่มเปลี่ยน จากที่เห็นไอหมอก พัดผ่านเคลียคลอใบหน้าไป ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็น ลมแรงๆ จนทำให้หนาวยะเยือก บางช่วงเหมือนมีละอองน้ำเล็กๆเย็นๆปลิวมาด้วย แถมยังมองวิวภูเขาไม่เห็นด้วย คาดว่าไม่ไกลออกไปนั้นคงมีฝนตกแล้ว และอีกไม่นานคงมาถึงจุดที่เรายืน ฉะนั้นเมื่อชมวิวจนหนำใจแล้ว จึงต้องรีบเผ่นดีกว่า
การมาที่นี่เรารู้อยู่แล้วว่าฟ้าไม่น่าจะเปิด โอกาสที่จะได้ชมพระอาทิตย์ตกนั้นคงไม่มี แต่ตอนมาก็คิดแค่ว่าขอให้ได้มาสูดกลิ่นธรรมชาติ หายใจได้เต็มปอดก็คุ้มพอแล้ว
การเที่ยวช่องเย็นหน้าฝน สิ่งที่ต้องระวังคือคุ่นค่ะ ทางที่ดีควรหาน้ำมันตะไคร้ทาตัวติดไว้ด้วย ขนาดเรากันแล้วกันอีก ยังโดนที่ขาไปหลายจุด คือมันก็ไม่ได้อันตรายมาก แต่ถ้าโดนกัดเยอะๆจะเกิดอาการคัน ตกสะเก็ดแล้วตกสะเก็ดอีกก็ยังไม่หายคัน (แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนะคะ)
การเดินทางไปที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ และไปช่องเย็นนั้น โดยรถยนต์ส่วนตัว หากเริ่มจากจังหวัดนครสวรรค์จะใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1 ถนนพหลโยธิน ถึงแยกโค้งวิไล บริเวณหลักกิโลเมตรที่ 307+500 ให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1242 (ผ่านอำเภอปางศิลาทอง) ไปประมาณ 40 กิโลเมตร เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1072 ไปอีก 10 กิโลเมตร จะพบสี่แยกคลองลาน ให้เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1117 ถนนคลองลาน-อุ้มผาง ประมาณ 15 กิโลเมตร จะถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ ซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักโซนที่ 1 (โซนที่ทำการอุทยานแห่งชาติ) และเป็นเส้นทางไปบ้านพักโซนที่ 2 (โซนช่องเย็น) แต่ระหว่างการเดินทางให้เลี้ยวตามข้อมูลที่บอก อย่าหวังดูหมายเลขถนน เพราะบางทางแยกจะไม่มีป้ายหมายเลขถนนบอก และหากไปไม่ถูก หรือจะแจ้งการเดินทางล่วงหน้าเพื่อจองที่พักให้ติดต่อที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ โทรศัพท์ 09 0457 9291
สำหรับการไปที่ช่องเย็น หรือเที่ยวในพื้นที่อุทยานฯ ควรนำขยะกลับมาด้วยนะคะ เพราะไม่มีพื้นที่จัดการขยะค่ะ สำหรับเราแล้วคิดว่าไม่ควรมีดีกว่า จะได้ไม่ทำลายพื้นที่ธรรมชาติ แค่นักท่องเที่ยวมีวินัย สิ่งสวยๆก็ยังคงอยู่ได้
^_ฝอยลม_^

หนาวลมฝน ชิลล์สุดขั้วที่ช่องเย็น
หนาวลมฝน ชิลล์สุดขั้วที่ช่องเย็น
Information
OPEN
- ไม่พบข้อมูล
TEL
- ไม่พบข้อมูล
PRICE
- ไม่พบข้อมูล
ADDRESS
- ไม่พบข้อมูล
FACILITIES
- ไม่พบข้อมูล
CONTACT
- ไม่พบข้อมูล
SHARE

#hashtag
RELATED