หากเปรียบ ชีวิตคือการเดินทาง ความสุขก็คงเป็นเชื้อเพลิงที่สำคัญ คอยช่วยขับเคลื่อนให้ชีวิตมีพลังใจสามารถเดินทางฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามบนเส้นทางสายชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไม่ต่างไปจากน้ำมันเชื้อเพลิงที่คอยหล่อเลี้ยงให้รถยนต์สามารถขับเคลื่อนพาเราออกวิ่งไปตามเส้น ทางสายต่างๆ ได้อย่างโลดแล่น
แต่ตอนนี้พลังงานความสุขของผมและครอบครัวเรากำลังจะหมด ต้องการเติมใส่ด้วย ท้องทะเลสีคราม พร้อมวิวงามๆ และอาหารรสอร่อย กับระยะทางที่ไม่ห่างไกลจากป่าคอนกรีต ที่เราอาศัยอยู่เท่าไรนัก
“บางแสน” ชื่อนี้เจ้าตัวเล็กจอมซนของผมชอบเอ่ยปากขึ้นมาอยู่เสมอๆ ว่าอยากไป ผมจึงเปิดแผนที่ใน Google Map ดูระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึง หาดบางแสน ก็ประมาณ 110 กว่ากิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางชิลล์ๆ ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้น แถมถนนหนทางที่ไปก็สะดวกสบาย แป๊บเดียวก็ถึง!
เมื่อได้เห็นข้อมูลเช่นนั้น ผมและครอบครัวก็ต่างเก็บข้าวของจำเป็น พร้อมกล้องบันทึกความทรงจำคู่ใจยัดใส่กระเป๋า มุ่งหน้าสู่ อ.บางแสน จ.ชลบุรี ในทันที โดยมีรถ MPV เอนกประสงค์ All New Suzuki Ertiga สีฟ้าสดใสเป็นเพื่อนคู่ใจนำพาเราและสัมภาระเต็มท้ายไปเติม ความสุขจากธรรมชาติกันในครั้งนี้
และระหว่างทางที่เราขับไปเพลินๆ บนเบาะนั่งตัวใหญ่ที่ให้ความรู้สึกสบายคล้ายเก้าอี้โซฟา ภายใต้บรรยากาศโปร่งโล่งสบายตาของห้องโดยสาร ซูซูกิ เออร์ติก้า เพลง “Sea Scape - สครับ” ก็ค่อยๆ ล่องลอยขึ้นมาเบาๆ จากเครื่องเสียงนุ่มๆ ที่สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์พกพาอย่าง iPhone หรือ iPod ได้สะดวก ช่วยเติมเต็มให้เส้นทางที่ดูน่าเบื่อของทางด่วน บูรพาวิถี กรุงเทพ-ชลบุรี กลับมาดูมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
ขอบอกว่าเพลงนี้เจ้าตัวเล็กชอบมากๆ ผมจึงใช้ปลายนิ้วสัมผัสสวิตช์ควบคุมชุดเครื่องเสียง Multi Function ที่ติดตั้งอยู่บนก้านพวงมาลัยฝั่งซ้ายให้ค่อยๆ ดังขึ้น เพื่อแบ่งปันความสุขจากเสียงเพลงร่วมกัน
และในบางจังหวะเราต้องเร่งแซงรถบรรทุกที่วิ่งช้าอยู่ช่องทางซ้าย แต่ น้องเออร์ติก้า เพื่อนคู่ใจของเราก็ไม่ทำให้ผิดหวังส่งเสียงคำรามเบาๆ พร้อมความกระฉับกระเฉงของเครื่อง 1.4 ลิตร และเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีด สามารถพาเราทะยานแซงไปได้อย่างคล่องแคล่ว พริบตาเดียวผมหันมามองเข็มความเร็วที่หน้าปัดอีกทีก็ 140 กม./ชม. เชื่อไหมแม้ว่าจะอยู่ในช่วงความเร็วสูงขนาดนี้ แต่ระบบการทรงตัวและระบบกันสะเทือนของน้องเออร์ติก้าก็ยังคงความนุ่มนวล สามารถยึดเกาะถนนได้เป็นอย่างดีทั้งในทางตรงและขณะเข้าโค้ง กล่อมให้เจ้าตัวเล็กข้างๆ ผมที่เมื่อสักครู่ยังร้องเพลงเต้นโหวกเหวกโวยวายกลับกลายเป็นเจ้าชายน้อยนอนหลับพริ้วไปเสียอย่างนั้น ซึ่งระบบช่วงล่างที่เซ็ตมาได้อย่างลงตัวเช่นนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกมั่นใจเวลาที่อยู่หลังพวงมาลัยของน้องเออร์ติก้าตลอดการเดินทาง
หลังจากผ่านพ้นทางด่วน บูรพาวิถี กรุงเทพ-ชลบุรี เราเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปสัมผัสความหนาแน่นของตัวเมือง ชลบุรีเพราะได้ยินเสียงร่ำลือมาว่าเป็นอีกเมืองที่มีร้อยไฟแดง และรถก็เยอะมากมาย เราเลยตัดสินใจเบี่ยงใช้เส้นบายพาส แล้วเลี้ยวตัดเข้าบางแสน แต่ก่อนเราจะไปถึงชายหาดบางแสน เราเลือกขับ น้องเออร์ติก้า เลียบชายทะเลท่ามกลางแสงแดดร้อนๆ ที่ไม่ทำให้อุณภูมิภายในห้องโดยสารของน้องเออร์ติก้าสูงตาม เพราะจุดเด่นที่ผมเลือก ซูซูกิเออร์ติก้า จุดหนึ่งก็เพราะแอร์ตอนหลังนี่แหละที่นอกจากจะมาเพิ่มขึ้นแล้วยังสามารถ ปรับระดับความแรงได้หลายระดับและสามารถส่งผ่านความเย็นได้ทั่วถึงห้องโดยสารทั้งหมด ทำให้ทุกคน ในครอบครัวของผมมีความสุขตลอดการเดินทาง
หลังจากสักการะ “ศาลเจ้าแม่เขาสามมุก” เสร็จอาจเป็นเพราะ โชคชะตา ความบังเอิญ จังหวะที่ดี หรืออะไรก็ตาม นำพาให้เราได้พบกับอากาศดีๆ แผ่นฟ้าและผืนน้ำสีครามสดใสในช่วงฤดูฝนบนยอดเขาสามมุก ซึ่งเป็นอะไรที่พบเจอได้ยากสำหรับนักเดินทางในช่วงฤดูฝน ผมจึงไม่รอช้ารีบจอดรถแล้วคว้าเครื่องบันทึกความทรงจำมองหามุมงามๆ บันทึกความสวยงามที่หยิบยื่นให้เราอยู่ตรงหน้า
พอหลังเก็บภาพประทับใจได้สักพักผมก็มีเวลาได้หยุดสัมผัสความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มองเห็นท้องฟ้าที่ไกลสุดแสนจะไกลตา เรือประมงลำน้อยกำลังหยอกล้ออยู่กับเกลียวคลื่น และสายลมเย็นๆ ที่เชิญชวนให้นกนานาชนิดออกมาสยายปีกเล่น ช่วยสร้างสรรค์ความสุขให้ผมและครอบครัวแปลกตาอย่างมาก
แต่เพียงไม่นานท้องฟ้าสีครามสดใสเมื่อประมาณ 15 นาทีที่ผ่านมาก็แปรเปลี่ยน มีก้อนเมฆใหญ่มากมาย ลอยปกคลุมบดบังแสงจากดวงอาทิตย์ไม่ให้ส่องผ่านมาถึง ท้องทะเลกลายเป็นสีดำดูบ้าคลั่ง ภาพที่เปลี่ยนไป ไม่ทำให้ผมรู้สึกเสียดาย หรือเสียใจ แต่สะท้อนให้เราได้เห็นว่า “ชีวิตนั้นก็คล้ายกับท้องฟ้า เปลี่ยนแปลง อยู่ตลอดเวลาเป็นธรรมชาติและธรรมดา”
ระหว่างที่ฝนกำลังโปรยปรายลงมาผมและครอบครัวก็หลบอยู่ใน น้องเออร์ติก้า แล้วเบรนด์สตอร์มกันว่าจะไปไหนกันต่อดี เพราะเราไม่ได้วางแผนรองรับฉุกเฉินหากเกิดเหตุสุดวิสัยแบบนี้ เจ้าตัวเล็กของผมหลังจากย้ายก้นไปนั่งเล่นอยู่แถวที่ 3 ซึ่งเป็นแถวตอนหลังสุดของน้องเออร์ติก้า ตะโกนแข่งกับเสียงสายฝนออกมาด้วยน้ำเสียงงอแงว่าอยากไป Art in Paradise ทุกคนยกมือลงความเห็นว่าอยากไป เมื่อมติเป็นเอกฉันท์ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ผมจึงวนรถออกไปตั้งหลักที่ถนนสุขุมวิท มุ่งหน้าสู่พัทยาซึ่งเป็นที่ตั้งของ Art in Paradise
สำหรับ “Art in Paradise” เป็นพิพิธภัณฑ์ภาพวาด 3 มิติ โดยศิลปินชาวเกาหลีใต้ ซึ่งทางพิพิธภัณฑ์มีแนวคิดที่จะให้ทุกคนสามารถสัมผัสงานศิลปะ เข้าใจง่าย ไม่ว่าคุณจะมากับครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก ก็สามารถที่จะสนุกไปพร้อมๆ กันกับการสร้างสรรค์ท่าทาง เรียกว่ามีปฏิสัมพันธ์กับงานศิลปะได้อย่างเต็มที่ ไร้ขอบเขต เพื่อให้ได้ภาพสุดแสนโดนใจเหมือนหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงานศิลป์เลยทีเดียว
อาจเพราะสายฝนเป็นเหตุทำให้การเดินทางของเราดูหลากหลายและมีชีวิตชีวา แต่ไม่นานท้องฟ้าก็หยุด เราตีรถกลับจาก Art in Paradiseพัทยา มุ่งสู่บางแสนอีกครั้ง พร้อมเสียงท้องร้องของเจ้าตัวเล็กอีกเช่นเคย ผมขับ น้องเออร์ติก้า เลาะชายหาดบางแสนมาจนถึงหาดวอนนภา ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ต่อจากหาดบางแสนนิดเดียว ส่วนตัวชอบหาดแห่งนี้เพราะหาดวอนนภา เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ ต่างจากบางแสน ผู้คนชอบมานั่งเล่นหรือนั่งปิกนิกดื่มด่ำบรรยากาศกันโดยเฉพาะในช่วงเย็น
เราเลี้ยวรถจอดหน้าร้านอาหาร ครัวต้นข้าว เลือกมุมที่สามารถสัมผัสทะเลได้ใกล้ชิดที่สุด ซึ่งคงจะดีหากเราได้มาสัมผัสบรรยากาศในช่วงเย็นเห็นพระอาทิตย์ทอแสงอ่อนๆ ก่อนจะลับขอบฟ้า แต่ไม่เป็นไรในตอนนี้เราขอสั่งอาหารอร่อยๆ มาทานแก้หิวก่อนดีกว่า ไม่นานปลากะพงทอดน้ำปลาตัวโตก็ถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะ ตามมาด้วยหมึกไข่ย่างสดๆ พร้อมน้ำจิ้มซีฟูดรสเด็ด ไข่ตุ๋นทะเล ผัดฉ่าทะเล แกงส้มกุ้งไข่ปลาเรียวเซียว และปลาทูต้มยำเมนูฮอตของที่นี่ ทำให้โต๊ะอาหารสำหรับแขก 3 คน ดูแน่นขนัดไปโดยปริยาย
หลังจากพักสายตากับท้องทะเลอันกว้างใหญ่แล้ว ผมมีสถานที่พิเศษแห่งหนึ่งที่อยากแนะนำ เพราะเชื่อว่าหลายคนมาบางแสนแล้วคงนึกถึงแต่ทะเลแน่นอน สถานที่ที่ว่านี้ก็คือ “อ่างเก็บน้ำบางพระ” หากขับรถออกจากชายหาดบางแสนให้ใช้เส้นทางสุขุมวิท มุ่งหน้าไปทางอำเภอศรีราชาประมาณสัก 10 กิโลเมตร จะพบกับสามแยกไฟแดง ให้คุณเลี้ยวซ้ายเข้าประมาณ5 กิโลเมตร ผ่านทางรถไฟ แล้วคุณก็จะพบกับทางเข้า อ่างเก็บน้ำบางพระ
สำหรับอ่างเก็บน้ำบางพระ เป็นหนึ่งในสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของชาวบางแสน และ ชาวศรีราชา ที่นี่มีความร่มรื่นเต็มไปด้วยแมกไม้และสัตว์หลากหลายชนิด มีถนนวิ่งเลียบเขื่อนความยาวกว่า 10 กิโลเมตร บางคนเลือกขับรถเล่นมากับครอบครัวกินลมชมวิวของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ หรือนั่งเล่นบนสนามหญ้ามองภาพพื้นหลังเป็นภูเขาลูกใหญ่แลดูเป็นมิติที่ซับซ้อน เห็นแล้วก็รู้สึกสบายตาและผ่อนคลายทีเดียว หรือบางคนที่รักสุขภาพก็เลือกที่จะออกกำลังกาย วิ่ง หรือ ปั่นจักรยานไปตามสันเขื่อน นอกจากนี้อ่างเก็บน้ำยังเป็นพื้นที่สำหรับนักถ่ายภาพทั้งมือสมัครเล่นและมืออาชีพ สามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะการมาเฝ้ารอเฝ้าคอยเก็บภาพแสงอาทิตย์ในยามเช้า หรือช่วงเย็นย่ำ
บรรยากาศของ “อ่างเก็บน้ำบางพระ” แสนดีขนาดนี้ ผมอดไม่ได้ที่จะเปิดท้ายรถยกเสือภูเขาคันโปรดและรถพับคันจิ๋วของเจ้าตัวเล็กที่เราพกพาใส่บั้นท้ายที่กว้างใหญ่ของ น้องเออร์ติก้า เจ้ารถเอนกประสงค์คันนี้ มาปั่นเที่ยวเล่นและถ่ายรูปบนสันเขื่อนเพื่อให้ร่างกายได้รับการบำบัดจากธรรมชาติหลังจากที่อ่อนล้ามานาน โดยผมจอด น้องเออร์ติก้า ให้พักเหนื่อยรับลมเย็นๆ ผมมองดูเธอจากระยะไกลรู้สึกว่าเธอมีความสุขกับการได้อาสาพาพวกเรามาเที่ยวบางแสนในครั้งนี้ แต่ไม่นานละอองแสงอาทิตย์ที่ส่องกระทบกับดอกหญ้าน่ารักๆ ที่ขึ้นอยู่ริมสันเขื่อน ก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา เป็นสัญญาณว่าทริปบางแสนของเรากำลังจะสิ้นสุดลง
ผมขับน้อง เออร์ติก้า ออกจาก อ่างเก็บน้ำบางพระ เราแวะไปหม่ำขนมเค้กรสละมุนกันที่ร้าน “บ้านต้นเค้ก” ตรงถนนเลี่ยงเมืองตลาดหนองมน หากเดินทางมาจากกรุงเทพฯ ให้ใช้ถนนเส้นสุขุมวิท มุ่งหน้ามาบางแสน สังเกตป้าย ถ.เลี่ยงตลาดหนองมน แล้วเลี้ยวซ้ายวิ่งมาประมาณ 3 กม. จะเห็นร้านบ้านต้นเค้ก ตั้งอยู่ริมถนนซ้ายมือ ก่อนถึงสี่แยกไฟแดง มีกำแพงอิฐแดงเป็นจุดเด่น
จุดเด่นของร้านนอกจากขนมเค้กและเครื่องดื่มจะสุดแสนอร่อยแล้ว บรรยากาศก็ชวนให้เรานั่งเล่นเพลินๆ ไม่รู้เบื่อ ผมเลือกนั่งตรงสนามหญ้าด้านนอกร้าน พร้อมสั่งโกโก้รสเข้มมาเติมความหวานให้ร่างกายสดชื่นอีกครั้ง เพราะผมเองต้องเป็นโชเฟอร์ขับพาคนที่ผมรักที่สุดกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ ส่วนเค้กขอแนะนำบานาน่าครีมพาย (Banana Cream Pie) - Cream pies สูตรพิเศษของร้านบ้านต้นเค้ก แต่งหน้าด้วยช็อกโกแลตดูสวยงามน่าทานมากๆ ส่วนรสชาติขอบอกเลยว่าอร่อยและไม่หวานมาก นอกจากนี้ทางร้านก็มีเค้กหลากหลายชนิดให้เลือกทาน
แต่ก่อนจะมุ่งหน้ากลับสู่ป่าคอนกรีต เราแวะซื้อของฝากกันที่ตลาดหนองมนช่วงเย็นๆ แหม...เวลานี้การจราจรแถวๆ ตลาดหนองมนก็หนาแน่นทีเดียว แต่โชคดีที่ได้ความคล่องตัวของ น้องเออร์ติก้า ทำให้สามารถฝ่าฟันสถานการณ์นั้นไปได้อย่างง่ายดาย พอถึงตลาดเราใช้เวลาไม่นานในการจับจ่ายซื้อของ เพราะแต่ละร้านก็มีสินค้าและราคาที่ไม่ต่างกันมากและส่วนใหญ่จะเป็นของทะเลแห้งชนิดต่างๆ ห่อหมก หอยจ๊อ
ขากลับผมมองระดับน้ำมันเชื้อเพลิงที่เหลืออยู่ของ น้องเออร์ติก้า ซึ่งคำนวณดูแล้วยังมีมากพอที่จะให้เราไปต่อได้อีกหลายที่ทีเดียว
แต่สำหรับวันนี้ผมขอพอเพียงเท่านี้ก่อน เพราะมาตรวัดระดับความสุขภายในร่างกายของผมและครอบครัวถูกเติมเต็มด้วยธรรมชาติรอบตัวที่ผ่านมาในวันนี้ พอที่จะช่วยให้เรามีพลังใจสามารถฝ่าฟันอุปสรรคบนเส้นทางชีวิตไปได้อีก และหากวันใดที่พลังงานความสุข เริ่มลดระดับลง ผมและครอบครัวก็จะให้เจ้าน้องเออร์ติก้านำพาเรากลับไปให้ธรรมชาติช่วยเติมพลัง ให้เต็มถังความสุขอีกครั้ง...
เพื่อนๆที่สนใจยานพาหนะเอนกประสงค์คู่ใจแบบผมสามารถเข้าไปลงทะเบียนทดลองขับได้ที่ https://www.facebook.com/SuzukiErtigaThailand และคลิ๊กเข้าไปที่ Ertiga Test Drive แค่เพียงใส่ข้อมูลส่วนตัว เลือกเวลาและสถานที่ เท่านี้คุณก็สามารถทดลองขับ All New Suzuki Ertiga ได้แล้วครับ ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ถึง 30 กันยายน 2556

หนึ่งวันที่ บางแสน ช่างแสนสุขใจ
หนึ่งวันที่ บางแสน ช่างแสนสุขใจ
Information
OPEN
- ไม่พบข้อมูล
TEL
- ไม่พบข้อมูล
PRICE
- ไม่พบข้อมูล
ADDRESS
- ไม่พบข้อมูล
FACILITIES
- ไม่พบข้อมูล
CONTACT
- ไม่พบข้อมูล
SHARE

#hashtag
RELATED