Banner Placeholder
Banner 1
Banner 2
Banner 3
Banner 4

หลงทางที่ ”พิจิตรจังหวัดที่ไม่คิดไปเหยียบ"

หลงทางที่ ”พิจิตรจังหวัดที่ไม่คิดไปเหยียบ"


การเดินทางของผมในครั้งนี้ใช้ชื่อว่า หลงทาง (Lhong thang)
ผมก็เหมือนกับใครหลายคน ที่หมกมุ่นกับการทำงานจนไม่ค่อยมีเวลาให้ตัวเอง การเดินทางของผมในครั้งนี้อาจจะไม่ใช่อะไรที่แปลกใหม่ สำหรับใครหลายคน แต่มันคือการเดินทาง เพื่อออกไปหาแรงบันดาลใจในการทำงานของตัวเอง ผมคิดว่ามันน่าจะช่วยให้ผมได้มีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น และอาจทำให้ผมได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน 
เชิญทัศนา 

นี่คืออุปกรณ์ที่ผมเตรียมไป เพื่อช่วยให้ผมเก็บภาพและเรื่องราวต่างๆ กลับมาให้ได้มากที่สุด อ่อ!ลืมบอกไปนิดครับผมทำงานเป็นช่างภาพอิสระ การหาแรงบันดาลใจของผมคงหนีไม่พ้นการถ่ายภาพ เพราะฉะนั้นความต้องการที่จะได้ภาพของผม จึงมีมากเป็นพิเศษและอุปกรณ์ที่เตรียมไปผมก็คำนึงถึงโอกาสที่จะใช้ และความคล่องตัว 
จุดหมายปลายทางของผมคือ บ้านมุง อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก

ผมออกเดินทางจากกรุงเทพฯเวลาประมาณ 9.00 น กับน้องดอกสะโหน(สองล้อคู่ใจ) ใช้เส้นทางถนนราชพฤกษ์-สายเอเชีย-ทางหลวงหมายเลข11 ความเร็วที่ใช้ตลอดเส้นทางอยู่ที่ประมาณ 100-120กม./ชั่วโมง คำนวนจากระยะทางและความเร็วที่ใช้ในการเดินทาง ผมน่าจะถึงปลายทางเวลาประมาณบ่าย3โมง (รวมจอดพักและจอดถ่ายรูประหว่างทางแล้ว) "เพราะช่วงไฮไลท์ของที่นั่น อยู่เวลาประมาณ5-6โมงเย็น จะมีฝูงค้างคาวนับหมื่นตัวบินเรียงแถวกันออกหากิน" Go!!!

อุปสรรคในการถ่ายภาพของผมคือ การหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายในแต่ละครั้งนี้แหล่ะครับ บางจังหว่ะเราเห็นแสงเห็นมุมสวยๆ แต่ก็ไม่สามารถจอดรถถ่ายได้ ทำได้แค่บันทึกมันด้วยสายตา
แต่ก็พยายามจอดถ่ายภาพในที่ๆ จอดได้นะ
เส้นทางที่ผมขับผ่าน ผมก็ทำการบ้านเรื่องมุมถ่ายภาพมาพอสมควร ในระหว่างทางถนนหมายเลข11 ทุ่งดอกทานตะวันที่บานสะพรั่งดูแล้วน่าตื่นตา ( รูปบน Facebook ) ผมก็พยายามสังเกตุสองข้างทางที่ผมผ่าน........... 
…......นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชม! สิ่งที่ผมคิดกับความเป็นจริง 
"การถ่ายภาพต่อให้เราเตรียมตัวไปดีแค่ไหน แต่ถ้าดวงไม่ดีก็....ยืนยิ้มครับ ^_____^ "

จากทุ่งดอกทานตะวัน ผมขับไปตามทางหลวงหมายเลข11 ถนนเส้นนี้มีรถสิบล้อวิ่งอยู่เป็นระยะๆ จึงต้องระมัดระวังในการขับเป็นพิเศษ (ขับมาเร็วๆ สวนทางกันทีตัวแทบปลิว) และช่วงที่ผ่านบ้านเขาทราย ตรงจุดนี้รถทำความเร็วได้ไม่มาก เพราะมีการซ่อมพื้นถนน ขับค่อนข้างลำบากมีเศษหินและฝุ่นเยอะมาก 
และ!สิ่งที่ผมคิดไว้มันก็เกิด..........
.....นั่นแหล่ะครับท่านผู้ชมยางแหก!!!! เอ้ย ยางแหวก!!! เอ้ย ยางแตก!!! เอ้ย ถูกแล้ว!(ห้าบาทสิบบาทยังเล่น) งานมาแล้วหล่ะครับ ณ ตอนนี้ผมเริ่มไม่สนุกแล้ว ผมคิดในใจว่า "เรามาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย" 

แต่……....ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้าง จากจุดที่รถยางแตกไม่ไกล มีร้านปะยางอยู่ (สวรรค์ยังเมตตา) จึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากพี่เจ้าของร้าน 
ใครจะเชื่อหล่ะแค่เศษหินก้อนเล็กๆ เกือบทำเกมเปลี่ยนแล้ว

ผมเสียเวลากับการปะยางไปพอสมควร จากบ้านเขาทราย ผมต้องเปิดคันเร่งทำความเร็ว เพื่อรีบไปให้ถึงจุดหมายก่อนช่วงเวลา5โมงเย็น ขับตามทางถนนหมายเลข11 มาเรื่อยๆและเลี้ยวขวาเข้า ถนนหมายเลข1115
ขับตรงตามทางเข้ามาไม่ไกลนัก ก็มาเจอจุดที่ทำให้ผมถึงกลับเบรคแทบไม่ทัน เพราะทางด้านขวามือเป็นจุดที่มีวิวที่สวยและแปลกตา ผมรีบกลับรถทันทีและไม่รีรอที่จะหยิบกล้องขึ้นกดชัตเตอร์
ตรงจุดที่ผมยืนถ่ายมีชื่อว่า เหมืองทองคำชาตรี ตำแหน่งที่ผมยืนคนทั่วไปสามารถยืนถ่ายได้ ไม่ต้องขออนุญาติใคร เพราะติดกับถนนที่ใช้สัญจรไปมา บอกได้คำเดียวว่า เพลินมาก ถ่ายแบบไม่กลัวการ์ดเต็มเลย
เพลินมาก!!
จากจุดที่เห็นวิวเหมืองผมจอดรถและเดินมาไม่ไกล ก็จะเจอกับถนนที่เป็นเหมือนสะพานเล็กๆ มีรั้วเหล็กกั้นตรงราวสะพาน เพื่อใช้ข้ามถนนที่อยู่ในเหมืองอีกที ตรงจุดนี้เราก็สามารถยืนถ่ายภาพรถบรรทุกที่กำลังวิ่งอยู่ในเหมืองด้วยมุมสูงได้เลย
ระหว่างนั้นผมก็ได้พูดคุยกับชาวบ้านที่ทำงานที่เหมือง ได้ความรู้ใหม่มาว่า (ถ้าผมจำไม่ผิด) "ดินที่มีแร่ทอง 1ตัน นำมาสกัดทองคำได้ 7กรัม" (แก้ไขตัวเลขเป็น 0.7กรัม) (ผมนี่อ้อออออออออเลยครับ) ทองคำ 1บาท หนักประมาณ 15กรัม เพราะฉะนั้นทองที่เราใส่ 1บาท ต้องใช้ดินประมาณ.....................ไปคิดกันเอาเอง 555555 

*(ตอนแรกเข้าใจว่า 1ตัน=7กรัม มีพี่ใจดีในนี้ให้ข้อมูลมาว่ามันแค่ 0.7กรัม ขอบคุณสำหรับข้อมูลตัวเลขที่ถูกต้องครับ)

"ความรู้พวกนี้ มันทำให้ภาพที่ผมถ่ายมารู้สึกมีน้ำหนัก"

ผมใช้เวลาถ่ายตรงนี้อยู่พักใหญ่ เพราะคิดว่าจากตรงนี้คงอีกไม่ไกลก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ระหว่างนั้นก็หยิบโทรศัพท์มานั่งเล่นและเช็คเส้นทาง

.................เดี๋ยวนะ! ฮะ! ไม่จริงใช่มั้ย!!!!
ถนนเส้นที่ผมเลี้ยวขวาเข้ามามันไม่ใช่ ถนนหมายเลข1115 ตามที่ผมเข้าใจ แต่มันคือถนนหมายเลข1301 ผะ ผะ ผะ ผมหลงทาง!!!!!! 

จากจุดที่ผมอยู่ต้องขับต่อไปอีกห้าสิบกว่าโลกจึงจะถึงจุดหมาย ประเมินจากระยะทางและช่วงเวลาแล้ว น่าจะไปไม่ทันเวลาไฮไลท์ที่เนินมะปราง ผมจึงตัดสิ้นใจหาที่ซุกหัวนอนแถวนี้สักคืน

ผมขับตามทางถนนหมายเลข1301 เข้ามาเพื่อหาที่พัก ไม่ไกลนักก็เจอกับหมู่บ้านหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่ค่อนข้างเงียบสงบ (ทราบชื่อในเวลาต่อมาว่าชื่อหมู่บ้านวังชะนาง) เสียงท่อรถของผมดึงดูดสายตาผู้คนในหมู่บ้านไม่น้อย ราวกับว่าผมเป็นตัวประหลาด T^T. ผมจึงจอดรถและใช้วิธีเดินเข้าไปสอบถามข้อมูลที่พัก เพื่อสร้างไมตรี ดีกว่าขับรถท่อดังดุ่มๆเข้าไปโดยตรง
จากการสอบถามได้คำตอบคือในหมู่บ้านนี้ไม่มีบ้านพักสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่มีแม้แต่โฮมสเตย์ (ผมเริ่มกังวล) 
......แต่สักพักก็มีชาวบ้านเดินมาบอกว่า "ยังพอมีที่พัก เป็นบ้านของชาวบ้านที่ใช้รองรับแขก ที่เดินทางมาที่นี่" ผมรีบตอบตกลงและให้เค้านำทางไปยังบ้านหลังดังกล่าว
เจ้าของบ้านหลังนี้มีชื่อว่าคุณแม่บังเอิญ คุณแม่บังเอิญเป็นคนยิ้มแย้มคุยเก่ง ทั้งที่เราเพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่การต้อนรับที่ได้กลับมาทำให้ผมรู้สึกเหมือนเป็นลูกหลานของท่านคนหนึ่ง^^ 
นอนที่นี่สักคืน
บรรยากาศรอบตัวบ้านก็ยังคงความเป็นชนบท คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่จะทำนา ทำไร่และเลี้ยงสัตว์ แทบทุกบ้านจะปลูกผักสวนครัวไว้กินเอง คุณแม่ยังคุยให้ฟังอีกว่าหมู่บ้านนี้ยังได้รับรางวัล หมู่บ้านเศษรฐกิจพอเพียงอีกด้วย^^ 
ผมนั่งคุยกับคุณแม่และญาติๆอยู่พักใหญ่ จึงขอตัวไปนอน เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาทั้งวัน zZzZ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก!!!!! "ตื่นได้แล้วลูก ตื่นมาใส่บาตร" เสียงเคาะประตูพร้อมเสียงเรียกให้ผมลุกขึ้นจากที่นอน ช่วงเช้ามืดอากาศที่นี่ค่อนข้างเย็น ไม่เหมาะกับการตื่นมาใส่บาตรซะเลย (ผมคิดในใจ555) 

คุณแม่เล่าให้ฟังว่าชาวบ้านที่นี่แทบทุกบ้าน จะตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมอาหารและยืนรอ พระภิกษุที่จะเดินมารับบาตรทุกเช้า ผมเองก็ไม่พลาดที่จะหยิบกล้องติดมือไปเก็บภาพบรรยากาศช่วงเช้า
พอใส่บาตเสร็จผมก็ขอตัวจากคุณแม่ เพื่อเดินไปเก็บภาพบรรยากาศวิถีชีวิตของคนในชุมชน 
ภาพนี้คือคุณแม่และพี่สาวกำลังก้มเก็บผักหน้าบ้าน เพื่อนำไปทำกับข้าวให้ผมกิน ^______^ 
นี่แหละครับภาพวิถีชีวิต ที่เราเองรู้สึกได้ว่า มันคือสิ่งที่ไม่เคยมีในชีวิตคนเมือง

บรรยากาศช่วงเช้าเงียบสงบกว่าช่วงเย็นวันก่อนที่ผมเพิ่งมา เสียงลมพัดและเสียงนกร้องของที่นี่ ดังจนผมได้ยินชัดเจน เด็กๆเตรียมตัวไปโรงเรียน บ้างก็มีรถโรงเรียนมารับ บ้างก็มีผู้ปกครองไปส่ง ร้านค้าเริ่มทยอยกันตั้งร้าน ผู้คนเริ่มทยอยกันออกไปทำหน้าที่ๆตัวเองมี สิ่งมีชีวิตอื่นๆ เริ่มพากันออกหากิน 
พอยกกล้องขึ้นถ่าย น้องๆ ก็ชูมือให้ทันที เอ้า 123!!!
หลังจากเดินถ่ายภาพอยู่พักใหญ่ผมก็กลับมาทานข้าวที่บ้านและเตรียมตัวเก็บสัมภาระเพื่อออกเดินทางไปยังจุดหมาย และแน่นอนผมไม่ลืมที่จะถ่ายภาพแม่บังเอิญเจ้าของบ้านที่แสนใจดี ไว้เป็นที่ระลึกและผมสัญญา จะหาโอกาสแวะไปเยี่ยมเยียนท่านอีกในไม่ช้า 
มีคนกล่าวว่า "หากเราก้าวออกจากจุดที่เรายืน เราจะเจอเรื่องราวใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ""หากเราเดินหลงทาง เราจะได้รู้จักกับเส้นทางใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไป"

และเส้นทางนี้คือที่ๆผม"หลงทาง"หากใครติดตามมาถึงตรงนี้ ก็จะพอเข้าใจในความหมายของคำว่า หลงทาง ในแบบของผม.........มันหมายถึง "หลง(รักเส้น)ทาง" และตัวผมเองต้องหาโอกาสกลับมาที่นี่อีกสักครั้ง "มาในที่ๆผมไม่เคยคิดจะมา"

เหมืองแร่ทองคำชาตรี จังหวัดพิจิตรหนึ่งในมุมไฮไลท์ของทริปนี้
จากหมู่บ้านวังชะนางผมออกเดินทางสู่ อำเภอเนินมะปราง ระยะทางประมาณห้าสิบกว่ากิโล เนื่องจากมีเวลาเหลือค่อนข้างมาก ผมจึงจอดถ่ายภาพวิวสวยๆ ตามข้างทางเป็นระยะๆ
ไม่นานผมก็มาถึงจุดชมค้างคาว บ้านมุง อำเภอเนินมะปรางก่อนช่วงเวลาไฮไลท์ จึงขับรถกินลมชมวิว แถวๆนั้นเพื่อฆ่าเวลา 
จากจุดที่ชมค้างคาวผมขับเข้าไปตามทางในภาพ 

ด้านหลังเขาผมไปเจอกับทุ่งข้าวโพดของชาวบ้านที่ปลูกไว้ และจุดนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งจุดไฮไลท์ของทริปนี้^^ มีทุ่งข้าวโพดที่กว้างใหญ่และแบล็คกราวเป็นภูเขาหิน สลับกันไปมา บอกได้คำเดียวฟิน!
ผมใช้เวลาตรงทุ่งข้าวโพดไม่นานก็ต้องกลับมานั่งรอค้างคาวที่จุดเดิม (กลัวพลาด) ระหว่างรอค้างคาวผมก็ได้พูดคุย และสอบถามข้อมูลความเป็นมาจากชาวบ้านแถวละแวกนั้น
ชาวบ้านที่นี่ใจดีและค่อนข้างคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยว นั่งคุยกันอยู่พักใหญ่ก็ได้เวลาที่ผมรอคอย!!!!
ชาวบ้านที่นี่เล่าใหัฟังว่า ก่อนที่ค้างคาวกลุ่มใหญ่จะบินออกมาจะมีกลุ่มเล็กๆบินออกมาก่อนเพื่อมาดูลาดเลา
หลังจากนั้นจะเริ่มทยอยกันออกมา แต่ก็จะมีเหยี่ยวคอยบินโฉบค้างคาวตัวที่อ่อนแอกินเป็นอาหาร T T
หลังจากนั้นก็ตามภาพเลยครับ ^^ ระยะเวลาที่ค้างคาวใช้บินออกมาจนหมดประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ "ไม่มีใครรู้ว่ามันบินไปไหน"....แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญ

"เจอค้างคาวแบบนี้ ในช่วงเวลาที่ฟ้าเป็นใจแบบนี้ บอกได้คำเดียวครับเปลืองเมมโมรี่การ์ดมากครับ" ฮาฮาฮา
ผมคิดว่า “นี่มันคือสิ่งอัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างขึ้น เพื่อให้มนุษย์อย่างเราได้เสพ และนำสิ่งที่เห็นไปเติมเต็มพลังชีวิต”
ซูม!!!
ช่วงเวลาดวงอาทิตย์ตกที่นี่ สวยไม่แพ้ที่ไหนเหมือนกัน ^______^
ผมเพลินกับการถ่ายภาพฝูงค้างคาวจนลืมไปว่า ตัวเองยังไม่มีที่พัก(อีกแล้ว T T) ผมจึงสอบถามที่พักจากชาวบ้านแถวนั้น ต้องบอกว่า เรื่องที่พักสำหรับที่นี่ไม่ค่อยมีปัญหา เพราะจากจุดชมค้างคาวเดินไม่กี่สิบก้าวก็ถึงบ้านพัก 

บ้านหลังใหญ่มาก!!!
ก่อนเข้าที่พักก็ได้นั่งคุยกับลุงคนหนึ่งที่ดูแลบ้านพัก(ลุงน่าจะดื่มมาพอสมควร) 
ลุง: "บ้านหลังนี้ดีนะนอนแล้วดี........" 
ผม: ครับลุง(คิดในใจแล้วไงต่อ) 
ลุง: "คืนนี้ฝันอะไร บอกลุงมั่งน๊ะ" ผม: .......(ลุงกำลังจะบอกอะไรเรา...) 
ลุง: "ครั้งก่อนลูกสาวลุงมานอนถูกหวยไปเป็นแสนเลยเนี่ย.....เค้าก็ไปซื้อไข่ต้มมาถวาย" 
ผม: .......ครับ.......(นั่นไงลุงบิ้วผมซะแล้ว ตอนแรกเฉยๆ ตอนนี้เริ่มกลัวละ) 
ป้า(เมียลุง): ไม่มีอะไรหลอกลูกนอนเถอะ มีอะไรก็ตะโกนเรียกป้า ป้านอนอยู่บ้านข้างๆนี้ 
ผม: อ้อครับขอบคุณครับป้า (เหมือนจะดี.....แต่ถ้าไม่มีอะไร จะให้ไปตะโกนเรียกทำไม?) 

พอขึ้นบ้านผมรีบไหว้พระ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อนทำอย่างอื่นเลย แต่บรรยากาศภายในบ้านพักไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด บ้านค่อนข้างใหม่เหมือนกับว่ายังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมาพัก
ช่วงเวลาหัวค่ำ ที่นี่เงียบมากๆ ร้านขายของที่เปิดไฟส่องสว่างอยู่ริมถนนก็เริ่มทยอยปิด ไฟตามบ้านเรือนชาวบ้านก็ค่อยๆ ดับลงทีละดวงสองดวง บอกเลย ณ จุดนี้ผมเริ่มกลัว (ลุงไม่น่าบิ้วเลย เมาก็แทนที่จะไปนอน) ทั้งบรรยากาศและช่วงเวลา (หัวค่ำ) ทำให้ผมนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาอยู่พักใหญ่ จึงลุกไปนั่งเล่นที่ริมละเบียง แสงดวงไฟที่ค่อยๆดับลงนี้เอง มันเริ่มทำให้ผมเห็นบางสิ่งบางอย่างชัดขึ้น............
………..ไม่ใช่ผีครับแต่มันคือดาว!

จากที่พักสามารถมองเห็นดาวได้อย่างชัดเจน จึงไม่รีรอที่จะหามุมตั้งกล้องถ่ายดาว "สิ่งสำคัญสำหรับการถ่ายภาพดาวก็คือขาตั้งกล้อง" หากไม่ได้เอาติดไปด้วยบอกได้คำเดียวว่า พลาด! 

การถ่ายภาพดาวควรศึกษาข้างขึ้น-ข้างแรม แต่บอกตามตรงครับ ผมไม่ได้เตรียมตัวไปถ่ายดาว แค่มองเห็นว่ามีผมก็ตั้งกล้องถ่ายแล้ว
ดาวหมุนที่เนินมะปราง

โชคดีที่อากาศในค่ำคืนนั้นค่อนข้างดีและดาวสวยเต็มท้องฟ้า ทำให้ผมลืมความกลัวก่อนหน้านี้ไปเลย^^ ผมใช้เวลาอยู่กับการถ่ายดาวเกือบสองชั่วโมง ก็ได้ภาพที่น่าพอใจ และดวงจันทร์ก็เริ่มส่องแสง จนทำให้แสงของดาวจางไป (เป็นคืนที่แสงจันทร์ค่อนข้างสว่าง) เวลาก็เริ่มดึกลงผมจึงตัดสิ้นใจกลับเข้าไปนอน สำหรับค่ำคืนนี้ผมก็หลับสนิทไม่มีสิ่งใดมารบกวน ^_____^

เช้าวันสุดท้ายของทริปนี้ ผมลุกขึ้นจากที่นอนเช้าหน่อย เพื่อมาสัมผัสกับบรรยากาศและวิถีชีวิตของคนที่นี่ 
มุมทุ่งข้าวโพดยามเช้า
ดวงจันทร์ยังอยู่
ผมเดินถ่ายภาพไม่นาน ก็ต้องกลับเข้าไปนอนต่อ เพราะอากาศช่วงเช้ามันเย็น เหมาะกับการนอนมากกว่าเดินถ่ายภาพจริงๆครับ (555) 
ขอถ่ายภาพที่พักตอนเช้าเก็บไว้หน่อย จริงๆที่นี่ไม่น่ากลัวเลยครับแถมยังดูชิลๆ ด้วยซ้ำ^^ หากใครเดินทางมาเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมแวะมาพักที่นี่นะครับ (จำชื่อที่พักไม่ได้ T T) จากจุดชมค้างคาวเดินย้อนหลังมาไม่กี่สิบก้าว 
ขอทิ้งท้ายไว้ด้วยภาพนี้ ภาพที่ถ่ายได้โดยบังเอิญ เป็นมุมๆหนึ่งที่ถ่ายไว้ก่อนกลับจากถ่ายดาว ในภาพจะมีแสงของดวงจันทร์ สาดส่องลงมายังทุ่งข้าวโพด พร้อมกับแบล็คกราวที่เป็นภูเขาและดาว ผมชอบภาพนี้มากๆ และไม่รู้จะมีโอกาสได้ถ่ายภาพทำนองนี้อีกมั้ย 
"ภาพบางภาพกล้องถ่ายรูปไม่สามารถบันทึกได้ เราจึงต้องใช้สายตาในการบันทึก และใช้สมองเป็นเมมโมรี่การ์ดในการจดจำ" 
ขอบคุณครับ

________________________

ขอบคุณภาพและเรื่องราว จากคุณ สมาชิกหมายเลข 2956503 สมาชิกพันทิปดอทคอม 
Facebook : https://www.facebook.com/snowmanz.photo






Information

OPEN

- ไม่พบข้อมูล

TEL

- ไม่พบข้อมูล

PRICE

- ไม่พบข้อมูล

ADDRESS

- ไม่พบข้อมูล

FACILITIES

- ไม่พบข้อมูล

CONTACT

- ไม่พบข้อมูล

SHARE

share

#hashtag

RELATED