ถึงจะไม่ใช่เจ้าที่ แต่ก็รู้ว่าสตูลไม่ได้มีดีแค่เกาะหลีเป๊ะ!
ทริปล่องใต้ส่องเพชรเม็ดงามแห่งทะเลอันดามัน “สตูล” จังหวัดที่แว๊บแรกเมื่อนึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวคงหนีไม่พ้น หลีเป๊ะ เพราะขึ้นชื่อเรื่องน้ำทะเลใสราวกระจก สวยงาม จนโด่งดังไปไกลถึงเมืองนอกเมืองนา แต่เชื่อหรือไม่ว่า...จริงๆ แล้วที่นี่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทั้งภูเขา ถ้ำ ทะเล น้ำตก บางที่ก็เป็น Unseen หนึ่งเดียวในไทยด้วยนะ ว่าแต่จะมีที่ไหนบ้าง ตามไปดูกันเล้ย
เริ่มต้นการเดินทางจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไปลงที่ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ใช้เวลาในการบินลัดฟ้าประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังเป้าหมายแรกเพื่อตามหาหัวใจที่ปลายอุโมงค์ ณ ถ้ำเล สเตโกดอน เป็นถ้ำน้ำเค็มที่ยาวที่สุดในประเทศไทยกว่า 4 กิโลเมตร ตั้งอยู่ในเขตอุทยานธรณีสตูล ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกให้เป็นแหล่งอุทยานธรณีโลก (Global Geopark) แห่งแรกในประเทศไทย เพราะมีการค้นพบซากฟอสซิลเก่าแก่ และซากสัตว์ดึกดำบรรพ์อย่างชิ้นส่วนของช้างสกุลสเตโกดอนที่มีอายุกว่า 1.8 ล้านปี!!
แต่ก่อนที่จะไปลอดถ้ำเล สเตโกดอน เจ้าหน้าที่จะอธิบายให้ความรู้และความปลอดภัย จากนั้นค่อยขึ้นรถที่จัดเตรียมไว้ไปยังปากทางเข้าถ้ำ เมื่อมาถึงจะมีเรือแคนูพร้อมไกด์และฝีพายพาเข้าไปผจญภัยย้อนรอยโลกดึกดำบรรพ์กว่า 500 ล้านปี ชมความงามสุดมหัศจรรย์ภายในถ้ำ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยสิ่งที่เราต้องทำก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากใส่เสื้อชูชีพกับหมวกกันน็อคให้เรียบร้อย แล้วพกจินตนาการเข้าไปล้วนๆ
บรรยากาศภายในถ้ำมืดตึ้บ! มีเพียงแสงจากไฟฉายและสปอตไลท์จากไกด์ที่ส่องบรรยายจุดไฮไลท์ต่างๆ แต่กลับรู้สึกเย็นสบายไม่อึดอัด ลักษณะเป็นถ้ำธารลอดที่มีระดับน้ำขึ้น-ลง ตามระดับน้ำทะเลที่แตกต่างกันทุกวัน อีกทั้งยังเป็นถ้ำมีชีวิตหรือถ้ำเป็น คือยังคงมีการก่อตัวของหินงอกหินย้อยอยู่ บ้างก็ส่องแสงระยิบระยับยามต้องแสงไฟ อีกทั้งยังมีซากฟอสซิลอายุหลายล้านปีให้เราได้เห็นกับตาอีกด้วย
อู้ววว สุดทางที่ปลายอุโมงค์จะได้พบกับทางออกคล้ายรูปหัวใจ แถมยังได้เห็นฟอสซิลนอติลอยด์เป็นร่องรอยซากดึกดำบรรพ์ที่มีอายุกว่า 500 ล้านปีอีกด้วย
ออกจากถ้ำแล้วไปล่องเรือชมป่าชายเลนกันต่ออีกประมาณ 30 นาที เพื่อไปขึ้นบกที่ท่าเรือบ้านท่าอ้อย และหากใครสนใจอยากมาผจญภัยย้อนรอยโลกดึกดำบรรพ์แบบนี้บ้าง แนะนำว่าให้มาเป็นกรุ๊ป ค่าบริการคนละ 300 บาท เปิดเข้าชมวันละ 1 รอบเท่านั้น!
ถ้ำเล สเตโกดอน
พิกัด : บ้านคีรีวง ต.ทุ่งหว้า อ.ทุ่งหว้า จ.สตูล
เบอร์โทรศัพท์ : 0-7478-9317 , 08-4858-5100
ค่าบริการคนละ 300 บาท
*จองล่วงหน้าก่อนเที่ยว อย่างน้อย 1 วัน (เนื่องจากการท่องเที่ยวมีความสัมพันธ์กับการขึ้น - ลงของน้ำทะเล)
หลังจากบุกถ้ำก็แวะหาอะไรหม่ำที่ เนอฆารา เป็นร้านอาหารจานเด็ด อาหารจานด่วน อาหารตามสั่งขึ้นชื่อในย่านนี้ โดยเฉพาะคนท้องถิ่นต่างแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย เพราะมีเมนูหลากหลายให้เลือกหรอยอย่างแรง
นอกจากอาหารคาวแล้ว ยังมีอีกเมนูขึ้นชื่อที่หากมาแล้วต้องสั่ง โรตี ทอดใหม่ๆ ร้อนๆ สามารถเลือกได้ทั้งแบบธรรมดาและประยุกต์ กินคู่กับชาชักฟองฟูสุดเนียนนุ่มสักแก้ว อื้มหืมมม...เข้ากันมากเวอร์
เนอฆารา
พิกัด : ถ.สฤษดิ์ภูมินารถ ต.พิมาน อ.เมือง จ.สตูล
เปิดทุกวัน เวลา 07.30-23.00 น.
เบอร์โทรศัพท์ : 074-723325
เช้าวันที่สองไปลุยกันต่อ ขอจัดแบบเบาๆ ด้วยการไปชมผ้าพื้นเมืองของสตูลที่ กลุ่มปันหยาบาติก ได้เห็นถึงกระบวนการทำผ้าปาเต๊ะ บาติกแบบออริจินอลไม่ผ่านกระบวนการทางเคมีใดๆ ไปจนถึงการออกแบบลวดลาย ลงสี ด้วยการใช้ฝีมือและประสบการณ์ ทำให้ได้ผ้าบาติกลวดลายแตกต่างไปจากทั่วไป
เอกลักษณ์เด่นของลวดลายผ้าที่นี่คือมีการเชื่อมโยงกับเรื่องราวทางธรณีวิทยา โดยเฉพาะลวดลายแอมโมไนต์หรือฟอสซิลหอย
สีสันที่ใช้ส่วนใหญ่จะเน้นความเป็นธรรมชาติ ออกแบบมาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ กระโปรง ฯลฯ สวยงามทรงคุณค่า สามารถซื้อกลับไปเป็นของฝากติดไม้ติดมือก็เก๋ไปอีกแบบ
กลุ่มปันหยาบาติก
พิกัด : บ้านปากละงู ต.ละงู อ.ละงู จ.สตูล
เบอร์โทรศัพท์ : 08-1093-4222
จากนั้นแวะพักเบรคที่ ภูผาแดง เป็นทั้งที่พัก ล่องแก่ง และร้านอาหารบรรยากาศริมน้ำ ที่มาพร้อมกับเมนูพื้นถิ่นรสชาติหรอยอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็น แกงตอแม๊ะ ใบเหลียงผัดไข่ โดยเฉพาะน้ำพริกกะปิรสชาติเด็ดมากกก กะปิห๊อมหอมกลมกล่อมทุกอรรถรส เปรี้ยว เค็ม เผ็ด เสิร์ฟคู่กับผักสด หมดแล้วต้องขอเติม
ภูผาแดง
พิกัด : บ้านวังนาใน 230 ม.10 ต.น้ำผุด อ.ละงู จ.สตูล
เบอร์โทรศัพท์ : 08-6946-9229
ระยะทางใกล้ๆ กันนั้น เราได้พบกับ มานิ (คนป่า) หรือที่หลายๆ คนเรียกกันว่าซาไกหรือเงาะป่า ซึ่งจริงๆ แล้วคำว่า ‘ซาไก’ เป็นภาษามาลายูแปลว่า ‘ทาส’ และคำว่าเงาะป่าเปรียบเสมือนของกิน ดังนั้นจึงไม่เหมาะนักที่จะใช้คำเหล่านี้กับพวกเค้า แนะนำให้ใช้คำว่า “ชนพื้นเมือง” จะเหมาะสมและเป็นการให้เกียรติมากกว่า
มองเผินๆ ที่นี่อาจจะไม่เชิงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวมากนัก แต่หากใครต้องการมาสัมผัสวิถีชีวิตดั้งเดิมที่ยังคงมีความผูกพันอยู่กับป่าแบบนี้ล่ะก็...จะต้องมีไกด์พามา ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านในละแวกนั้น หรือติดต่อไปที่ ภูผาแดง ก็ได้เช่นกัน โดยจะมีแอ๊ด ศรีมะนัง (มานิ) สามารถพูดคุยภาษาไทยได้ พร้อมมีกิจกรรมอย่างการเป่าลูกดอก เดินชมป่า เป็นต้น
เนื่องจากสถานที่เป็นที่ทับของมานิอาศัยอยู่จริงๆ ดังนั้นเราไม่ควรไป หยิบ จับ ข้าวของเครื่องใช้ หรือแม้แต่ทิ้งขยะ เปรียบง่ายๆ เหมือนเวลาเราไปบ้านคนอื่น เราก็ควรจะเคารพซึ่งกันและกันนั่นเอง
ป่ะ! เที่ยวกันต่อ ขอสลับมาเข้าถ้ำ (อีกละ) แต่ถ้ำนี้แตกต่างจากเมื่อวานตรงที่ไม่ได้นั่งเรือ แต่ใช้กำลังขาล้วนๆ ขึ้นบันได 300 ขั้น โดยระหว่างทางจะมีศาลาให้นั่งพักหายใจหายคอ 2 จุด ก่อนจะถึง ถ้ำภูผาเพชร เป็นถ้ำขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก!
ภายในถ้ำเต็มไปด้วยหินงอกหินย้อยระยิบระยับ แบ่งเป็นห้องเล็กห้องน้อยประมาณ 20 ห้อง ตั้งชื่อตามลักษณะของหิน อาทิ ห้องปะการัง ห้องม่านเพชร ห้องพญานาค เป็นต้น โดยทางเดินเป็นสะพานไม้ทอดยาว มีเพียงไฟดวงเล็กๆ ส่องนำทาง เพดานถ้ำสูงโปร่ง โอ่โถง สวยงามแปลกตาอย่างน่าอัศจรรย์
ไฮไลท์ห้ามพลาด! ห้องแสงมรกต อยู่ลึกเข้าไปด้านในสุดของถ้ำ ลักษณะเป็นเพดานโหว่ให้แสงจากธรรมชาติสาดส่องลงมากระทบกับหินที่มีสีเขียว มองแล้วกลายเป็นลานแสงมรกตแปลกตา ช่วงเวลาที่แสงสวยสุดๆ คือ 15.00 - 16.00 น. ของเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย
ถ้ำภูผาเพชร
พิกัด : ต.ปาล์มพัฒนา อ.มะนัง จ.สตูล
เปิดให้เข้าชมเวลา 08.30 น. - 16.00 น. (ต้องมีเจ้าหน้าที่ไปด้วย)
เบอร์โทรศัพท์ : 0- 7521-5867
เฮ จะเอาเธอนั้นไปลอยทะเลลล แหม่...ไม่ต้องบอกก็รู้เลยว่าวันที่สามของทริปนี้เราจะไปใช้ชีวิตติดเกาะ นั่งเรือลัดเลาะไปยังหมู่เกาะต่างๆ ที่บ้านตันหยงโป เพื่อลงเรือชมธรรมชาติสัมผัสความงามแห่งท้องทะเล
เริ่มกันที่เกาะแรก เกาะหัวมัน เป็นเกาะเล็กๆ ที่มีชาวประมงสร้างที่พักเป็นกระท่อมหลังคามุงจากไว้พักแรมชั่วคราวช่วงออกหาปลา ทำให้เราได้เห็นวิถีคนเลดั้งเดิมเกาะสุดท้ายของท้องทะเลอันดามัน
จากนั้นนั่งเรือต่อไปยัง สันหลังมังกร ชมความมหัศจรรย์กลางทะเลอันดามันที่สวยงามราวกับท้องทะเลสรรสร้างทางเดินบนสันทรายที่โผล่ขึ้นหรือที่เรียกกันว่า “ทะเลแหวก” ยาวกว่า 3 กิโลเมตร
เกาะข้างๆ กันนั้นคือ เกาะกวาง เป็นเกาะเล็กๆ ที่แอบซ่อนความแปลกตา แนะนำว่าให้ใส่รองเท้าเดิน เพราะทรายที่เราเห็นนั้นเต็มไปด้วยซากเปลือกหอยจำนวนมากทับถมกันอาจบาดเท้าได้ และเมื่อไต่เชือกขึ้นไปตามแนวโขดหิน จะพบกับจุดชมวิวแบบ 360 องศา อีกทั้งยังมองเห็นวิวสันหลังมังกรในมุมสูงอีกด้วย
ตบท้ายด้วยมื้ออาหารจัดหนักจัดเต็มไปด้วยซีฟู้ดโส๊ดสด มีทั้งปู กุ้ง กั้ง ปลาหมึก หอย ฯลฯ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ดรสชาติแซ่บสะเด็ดเติมได้ไม่อั้น รวมทั้งหมดนี้จ่ายเพียงคนละ 990 บาท รวมนั่งเรือชมเกาะ ค่าอาหารว่าง และอาหารกลางวัน เริด!
สนใจติดต่อชมรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ตันหยงโป โทร. 074-722-077
ราคาคนละ 990 บาท (รวมนั่งเรือชมเกาะ ค่าอาหารว่าง และอาหารกลางวัน)
ล่องเลตามเกาะ ลัดเลาะเข้าถ้ำ! วันสุดท้ายของทริป เราไปที่ชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก เพื่อชมทะเลแหวกหรือสันหลังมังกรอีกตัวของจังหวัดสตูล
จากนั้นก็นั่งเรือต่อไปยังที่เที่ยวสุด Unseen หนึ่งเดียวในไทย ปราสาทหินพันยอด โดยจุดนี้เราจะต้องพายเรือคายัคล่องถ้ำลอดเข้าไปด้านใน เพื่อชมความงามของชายหาดและน้ำทะเลสีเขียวมรกตที่แอบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางหินยอดนับพัน ที่ดูแล้วคล้ายรูปทรงปราสาทสุดแปลกตา
สนใจติดต่อการท่องเที่ยวโดยชุมชนบ้านบ่อเจ็ดลูก – ปราสาทหินพันยอด โทร. 08-1542-0071, 0986956461, 0926348509
ราคาคนละ 800 บาท เด็กอายุไม่เกิน 10 ขวบ ครึงราคา
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยวิวพระอาทิตย์ตกสุดโรแมนซ์ที่ สะพานข้ามกาลเวลา ทอดยาวคดเคี้ยวยื่นออกไปในทะเลริมเขาโต๊ะหงาย จากที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราเลียบไปตามชายฝั่งผาชันด้านตะวันออก แล้วโค้งไปทางตะวันตกผ่านเขตรอยต่อระหว่างหินปูนสีเทากับหินทรายสีแดง เป็นบริเวณที่พบรอยสัมผัสของหิน 2 ยุค เสมือนว่าเราก้าวย่างข้ามกาลเวลาจากยุคสู่อีกยุคนั่นเอง
สะพานข้ามกาลเวลา
พิกัดเขาโต๊ะหงาย : อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตรา ต.ปากน้ำ อ.ละงู จ.สตูล
สำนักงานอุทยานธรณีสตูล โทร. 063-465-492
จบทริปแบบแฮปปี้ ส่วนสิ่งที่อยากแนะนำว่าไปแล้วต้องมีก็คือ กระเป๋ากันน้ำ รองเท้าแตะหรือรองเท้ารัดส้นที่สามารถลุยน้ำได้ และที่สำคัญคือเสื้อผ้าพกไปแบบเผื่อๆ เพราะเชื่อว่าเปียก แฉะ ฉ่ำ ชื้นแน่นอน...

Unseen สตูล!! ทริปมนุษย์ถ้ำ จ้ำเรือคายัค
Unseen สตูล!! ทริปมนุษย์ถ้ำ จ้ำเรือคายัค
Information
OPEN
- ไม่พบข้อมูล
TEL
- ไม่พบข้อมูล
PRICE
- ไม่พบข้อมูล
ADDRESS
- ไม่พบข้อมูล
FACILITIES
- ไม่พบข้อมูล
CONTACT
- ไม่พบข้อมูล
SHARE

#hashtag
RELATED